ยิ่งเดินหน้าไปแต่ละเรื่องก็ยิ่งสร้างเอกลัษณ์ในทิศทางค่ายตัวเองที่แตกต่างจากฝั่งมาร์เวลชัดเจนมากขึ้น Batman v Superman: Dawn of Justice ยังคงบรรยากาศความเครียด ไร้อารมณ์ขัน หม่นทั้งภาพและเรื่องราวของหนัง มาภาคนี้ที่แฟน ๆ ดีซีรอคอยมานานกับการที่จะได้เห็น 2 ซูเปอร์ฮีโร่เบอร์ต้น ๆ ของดีซีอย่าง แบทแมน และ ซูเปอร์แมน ปะทะกันบนจอ เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นเรื่องราวของ แบทแมน รอบนี้ผ่านวิสัยทัศน์ของแซค ชไนเดอร์ ที่รีบู๊ตซูเปอร์แมนมาแล้ว
และเป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นภาพพ่อกับแม่ บรู๊ซ เวย์น โดนคนร้ายยิง และเหตุจูงใจให้กลายเป็นแบทแมน ถึงแม้จะย้อนความไม่มากนัก แต่ดูแล้วแบทแมนก็ยังได้ช่วงเวลาบนจอที่มากกว่าซูเปอร์แมน เหตุเพราะครั้งนี้คือการรีบู๊ตแบทแมนอีกครั้งแบบกลาย ๆ ในขณะที่ซูเปอร์แมน คนดูรู้จักซูเปอร์แมน ในเวอร์ชั่นของเฮนรี่ คาวิลล์ กันมาแล้ว เลยไม่ต้องแนะนำอะไรกันมาก เบน อัฟเฟลค ในมาดบรู๊ซ เวย์น ใส่ชุดหรู ๆ ก็ดูสำอางเป็นเศรษฐีไฮโซดูดี แต่กับชุดแบทแมนในรอบนี้ดูจะแปลกตากว่าทุกรอบ ด้วยการออกแบบชุดที่เน้นถึก บึก มีเกราะหนาเป็นแนวออกรบมากกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้าที่เน้นดีไซน์มีลวดลายสวยงาม ส่วนแบทวิง แบทโมบิล ภาคนี้ได้ออกมาวิ่งโชว์เยอะได้เห็นถ้ำค้างคาวมีทางเข้าออกสวยงามมาก ของเล่นแบทแมนภาคนี้มีไม่มากนัก เพราะเป็นแบทแมน ที่ดูฉลาดใช้หัวคิดสมองวางแผนมากกว่าใช้อุปกรณ์ อัลเฟรด ในภาพของ เจเรมี่ ไอออนส์ ดูเท่กว่า อัลเฟรด ในทุกเวอร์ชั่น ดูเป็นนักวิทยาศาสตร์ มีความเป็นคู่หูของบรู๊ซ เวย์นมากกว่าคนรับใช้
หนังลากยาวถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง กว่าชั่วโมงครึ่งแรกของหนังคือการปูความและแนะนำตัว เล็กซ์ ลูเธอร์ ที่มีบทบาทในเรื่องไม่น้อยไปกว่า 2 ซูเปอร์ฮีโร่ เล็กซ์เปิดตัวมาในฐานะปฎิปักษ์ต่อซูเปอร์แมน แต่ไม่เห็นบอกเหตุจูงใจว่าทำไมเล็กซ์ถึงเติบโตมาเป็นอาชญากรตัวร้ายนะ ขณะเดียวกันบรู๊ซ เวย์น ก็สงสัยว่าเล็กซ์ มีแผนการร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลังมาดนักธุรกิจใหญ่จึงคอยหาทางสอดแนมว่าเล็กซ์มีแผนการอะไร ทำให้บรู๊ซ ได้พบกับ ไดอาน่า พรินซ์ หรือวันเดอร์วูแมนครั้งแรก ซึ่งเธอก็แอบสอดแนมเล็กซ์อยู่เช่นกัน บทเล็กซ์ ลูเธอร์ ที่เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก ตีความบุคลิกออกมาเป็นมนุษย์ที่ดูไฮเปอร์อยู่ไม่สุข พูดมาก ยังไม่สามารถเป็นตัวร้ายที่น่าจดจำของโลกภาพยนตร์ ยังห่างไกลกับความเป็นอมตะอย่างโจ๊คเกอร์ของ ฮีธ เลดเจอร์
ชั่วโมงครึ่งแรกเป็นช่วงเวลาที่หนืดมาก หนักไปกับบทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำพูดคม ๆ ของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ฝั่งดีซี ซึ่งเดิมทีก็มีมากอยู่แล้ว รอบนี้โผล่มาถึง 3 คนก็เลยคมไปคมมาบาดกันใหญ่เลย ที่ชวนมึนคือการแยกแยะว่าฉากนี้คือเรื่องราวในภวังค์ของบรู๊ซ เวย์น ส่วนฉากนี้เรื่องจริงแล้วก็ต่อเนื่องกันโดยไม่มีเหตุบอกกล่าว ชวนอินเซปชั่นมาก ส่วนที่สนุกสุดแน่นอนคือฉากแอ็คชั่นใหญ่ท้ายเรื่องที่ลากยาวกว่า 20 นาที ถึงแม้ครั้งนี้ไม่ทำลายตึกรามบ้านช่องเท่า Man Of Steel แต่ก็ได้สนุกไปกับภาพการรวมพลังของ 3 ซูเปอร์ฮีโร่ ตัวร้ายก็ดูมีพิษสงร้ายกาจสมศักดิ์ศรีที่ต้องใช้ถึง 3 ซูเปอร์ฮีโร่มากำราบ กัล กาโดต์ ดูขึ้นมากกับชุดวันเดอร์ วูแมนและดูสวยกว่าตอนใส่ชุดราตรี ชุดวันเดอร์วูแมนออกแบบมาดีมาก ถึงแม้จะเป็นชุดเกาะอกกระโปรงสั้นแต่ก็ดูทะมัดทะแมงในฉากต่อสู้ ฉากแอ็คชั่นดูจะให้ความสำคัญกับวันเดอร์วูแมนมากพอดู ได้ฉากเท่ ๆ ไปเสียคนเดียวเลย ส่วนที่ชอบมากคืองานกำกับศิลป์ ที่ดูพิถีพิถันมากกับหลาย ๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากสู้กันของแบทแมนและซูเปอร์แมน ห้องมืด ๆ สีทึม ๆ แต่เน้นสีแดงสดของผ้าคลุมซูเปอร์แมนบวกกับดนตรีประกอบผสมเสียงประสานแบบเล่นใหญ่ ทำให้ฉากนี้ดูอลังการมาก
หนังยังเอ่ยถึง อควาแมน และ เดอะ แฟลช ซึ่งจะปูทางไปถึง Justice League หนังรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ฝั่งดีซีที่จะออกมาในปี 2017 แต่น่ากังวลแทนนะ เหตุที่ซูเปอร์ฮีโร่ฝั่งนี้มีเพียง แบทแมน และ ซูเปอร์แมนเท่านั้นที่มีหนังของตัวเองออกมาให้คนดูได้รู้จัก ส่วนวันเดอร์วูแมน กับ อควาแมน นั้นคนที่รู้จักก็ต้องวัย 40 ขึ้นเพราะเคยดูตอนที่มาฉายทีวีเมื่อ 30 กว่าปีก่อนนู้น กับอีกกลุ่มที่เป็นแฟน ๆ การ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ ที่พอจะมีความตื่นเต้นอยากเห็นซูเปอร์เหล่านี้มาขึ้นจอพร้อมหน้ากัน
โดยรวมแล้ว Batman v Superman: Dawn of Justice เป็นหนังที่มีฉากที่มีฉากแอ็คชั่นจัดเต็มได้ตามมาตรฐานหนังซูเปอร์ฮีโร่ในยุคหลัง ให้ความรู้สึกดี ๆ ได้กับการที่ได้เห็นซูเปอร์ฮีโร่ระดับตำนาน 2 ตัวอยู่ร่วมจอกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีสติพอที่จะผ่านชั่วโมงครึ่งแรกไปให้ได้ครับ ถ้าวูบไปเสียก่อนก็บอกเพื่อนให้ปลุกก่อนถึงฉากไคลแมกซ์ด้วย