นับเป็นข่าวที่น่ายินดีเมื่อมังงะ ‘Berserk’ จะได้กลับมาเขียนใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ อาจารย์ มิอุระ เคนทาโร (Miura Kentaro) ผู้ให้กำเนิดซีรีส์นี้เสียชีวิตไปในวันที่ 6 พฤษภาคม 2021 ที่ในตอนแรกทางสำนักพิมพ์ ‘Young Animal’ ต้องการจบเรื่องราวของ ‘Berserk’ เอาไว้ตรงนั้น เพื่อเป็นการเคารพต้นฉบับของอาจารย์มิอุระ แต่ล่าสุดก็มีข่าวดีว่าทาง ‘Studio Gaga’ ซึ่งเป็นทีมผู้ช่วยของอาจารย์มิอูระจะมาสานต่อเรื่องราวนี้ โดยมีอาจารย์ โคจิ โมริ (Kochi Mori) เจ้าของผลงาน “เกาะคนตาย” ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้ให้คำปรึกษาในการคิดเรื่องราวใน ‘Berserk’ สมัยอาจารย์มิอุระยังมีชีวิต เขาจึงเป็นคนเดียวที่เข้าใจตอนจบของเรื่องนี้มากที่สุด โดยอาจารย์โคจิจะมารับหน้าที่วาดเป็นลายเส้นหลักและให้ลูกมือใน ‘Studio Gaga’ เป็นผู้ช่วย (ว่ากันว่าอาจารย์มิอุระวาดคนเดียวกว่า 90% ผู้ช่วยทำน้อยมากงานเลยออกมาช้า) จนหลายต่างรอคอยตอนใหม่ที่จะออกมา แต่ก่อนจะไปถึงตอนนั้น (บ้านเราคงได้อ่านฉบับรวมเล่ม) เรามาย้อนดูความเถื่อนของมังงะเรื่องนี้กันว่ามันโหดดิบขนาดไหน ที่ขนาดมีคนบอกว่า “ถ้าคุณอ่านมังงะ ‘Berserk’ ได้คุณก็สามารถอ่านดูเรื่องราวอันโหดร้ายทุกอย่างบนโลกได้” เรื่องราวที่กล่าวมานั้นจะจริงเท็จขนาดไหนมาดูกันได้เลย
คำเตือน เนื้อหาในบทความมีภาพความรุนแรงทางเพศการใช้ภาษาที่รุนแรงโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
ทำความรู้จัก Berserk นักรบดำผู้คลั่งแค้น
สำหรับคนที่เพิ่งรู้จักหรือสนใจอยากอ่านมังงะเรื่อง ‘Berserk’ แต่อยากทราบว่าเรื่องราวในการ์ตูนเรื่องนี้เป็นอย่างไรก็มาอ่านเรื่องย่อกันได้ โดยตัวเรื่องในซีรีส์ ‘Berserk’ จะแบ่งเป็นหลักใหญ่ ๆ 3 ช่วง นั่นคือช่วงแรกที่เล่าเรื่องราวของนักรบดำที่ออกตามล่าปีศาจ ที่เราไม่รู้เลยว่าชายคนนี้คือใครเขามาฆ่าปีศาจทำไม เรารู้แค่ว่าเขาพกดาบขนาดใหญ่มีมือซ้ายเป็นปืนใหญ่ และชุดเกราะสีดำที่มีเอลฟ์ตัวจิ๋วมาเป็นเพื่อนในการเดินทาง ในช่วงที่ 2 จะบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ชาติกำเนิดของกัทส์ตั้งแต่เริ่มต้น จนมาพบกับกองทัพเหยี่ยวและมาจบที่จุดกำเนิดนักรบดำ ส่วนช่วงที่ 3 นั้นจะกลับมาเล่าเรื่องราวของนักรบดำอีกครั้ง แต่คราวนี้ตัวเรื่องจะลดความโหดร้ายลง (แต่ยังโหดดิบอยู่) เพราะคราวนี้ กัทส์ (Guts) จะมีเพื่อนร่วมทีมที่ช่วยในการต่อสู้ไม่ได้ลุยเดี่ยวแบบแต่ก่อน โดยเป้าหมายในคราวนี้เพื่อฟื้นความทรงจำ คาสคา (Casca) หญิงที่ตนรัก ซึ่งเสียความทรงจำจากค่ำคืนแห่งการกำเนิดเหยี่ยว ใครที่ชอบเรื่องราวแนวแฟนตาซีปีศาจเจ้าหญิงสัตว์ประหลาดที่ดุดันสมจริงไม่ควรพลาด ซึ่งสิ่งที่ดีงามในเรื่องนี้ไม่ใช่แค่งานภาพแต่ในเนื้อหายังแอบแฝงแนวคิดความรู้สึกและการเสียดสีสังคม และยังเล่นเรื่องศาสนาความเชื่อ ไปจนถึงความดำมืดในจิตใจผู้คนตั้งแต่เด็กไปจนถึงเหล่าปีศาจ ที่เรียกว่าอ่านแล้วคุณจะได้อะไรมากกว่าที่คิด จนหลายคนยกย่องให้ซีรีส์ ‘Berserk’ คือหนึ่งในมังงะที่ดีที่สุดในดวงใจใครหลาย ๆ คน
การกำเนิดของ Guts และนักรบดำ
เริ่มต้นความโหดร้ายเรื่องแรกที่เราของหยิบมาพูดถึงกับชาติกำเนิดของเด็กชายผู้ถูกสาปอย่าง กัทส์ที่ในเรื่องไม่ได้บอกเราว่าพ่อแม่ของกัทส์คือใคร แต่สิ่งที่เรารู้คือกัทส์ถูกเก็บมาเลี้ยงและได้รับความรักจากผู้เป็นแม่อย่างเต็ม โดยต้องย้อนกลับไปในวันหนึ่งที่กลุ่มทหารรับจ้างเดินทางผ่านต้นไม้ที่มีการแขวนคอชายหญิงบนต้นไม้ ตอนนั้นเองจู่ ๆ ก็มีเด็กชายร่างกายแข็งแรงหลุดออกมาจากท้องแม่ที่ถูกแขวนคอตาย ซึ่งเพราะร่างแม่ที่เน่าไปแล้วจึงรับน้ำหนักเด็กทารกไม่ไหว แต่แทนที่เด็กน้อยจะตายไปพร้อมกับผู้เป็นแม่ เด็กชายกับร้องไห้เสียงดังจน ชิซู (Shisu) หญิงสาวที่เพิ่งแท้งลูกไปเมื่อ 3 วันก่อนได้ยินเสียงจึงรับเด็กทารกมาเลี้ยง โดยมี แกมบิโน (Gambino) เป็นพ่อเลี้ยง ที่แม้ผู้เป็นพ่อจะเกลียดชังเด็กชายขนาดไหนก็ตาม แต่กัทส์ก็เคารพนับถือพ่อเลี้ยงมาก ๆ แม้เขาจะขายกัทส์ให้ทหารชายเพื่อทำมิดีมิร้าย จนวันหนึ่งฟางเส้นสุดท้ายก็จบลงเมื่อกัทส์รู้ว่าพ่อของตนขายกัทส์ให้เป็นทาสในกองทหารเพื่อเอาเงินมาใช้ เด็กชายที่โตเป็นวัยรุ่นจึงสังหารพ่อตนเองพร้อมคำพูดสุดท้าย ของชายที่ตนรักว่าเขาเกลียดกัทส์ตลอดตั้งแต่ที่เห็นจนมาถึงตอนนี้ นับเป็นความโหดร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจที่เล่นกับคนอ่านได้ดีจริง ๆ
Griffith ชายผู้ทรยศเพื่อนเพื่อเป้าหมายตัวเอง
หลังจากที่กัทส์หนีออกมาจากกองทัพที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าพ่อตัวเอง (กัทส์ที่ป้องกันตัว) หลังจากนั้นเด็กชายก็เดินทางไปเรื่อย ๆ ที่แม้โลกนี้จะโหดร้ายแต่เด็กชายก็มีความอ่อนโยนที่เหล่าภูติจะสัมผัสได้ หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของ ชิทช์ (Chich) ภูติดอกไม้ที่เติบโตในคุกที่กัทส์พบ หลังจากนั้นกัสท์ก็มาพบกับ กรีฟีส (Griffith) ผู้นำกองทัพเหยี่ยว (Band of the Falcon) ในตอนแรกกัทส์ที่ไม่ไว้ใจใครก็เข้ากับกองทัพเหยี่ยวไม่ได้ แต่หลังจากที่ผ่านศึกสงครามมามากมาย สุดท้ายกองทัพเหยี่ยวก็คือครอบครัวที่กัทส์ตามหามาทั้งชีวิต เพราะที่นี่กัทส์มีทั้งเพื่อนรักที่ยอมตายแทนกันได้อย่างกรีฟีส รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เปรียบเหมือนครอบครัว และคนรักอย่างคาสคาที่กัทส์ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งที่กัทส์เชื่อมั่นและหวาดกลัวก็มาถึง นั่นคือความสงบสุขที่คนแบบเขาไม่ควรได้รับ กัทส์จึงขอออกจากกองทัพเหยี่ยว ซึ่งคนที่ผิดหวังที่สุดคือกรีฟรีสที่รักกัทส์เหมือนพี่ชาย จนเมื่อกัทส์จากไปกรีฟีสก็เสียศูนย์ไปไม่ถูกว่าจะเดินไปทางไหน เพราะขาดคนที่เขารักและไว้ใจที่สุดไปในชีวิตไป ซึ่งกัทส์ไม่ทราบเรื่องนี้ และเรื่องที่กรีฟรีสทำผิดพลาดนั้นก็ส่งผลให้ชีวิตที่กรีฟรีสวาดฝันมาทั้งหมดต้องพังทลายลง จากชายหนุ่มรูปงามกลายเป็นชายร่างผอมที่ถูกตัดเอ็นแขนขา บังคับให้อดอาหาร ถูกทำร้ายมากมายนับแรมปีจนพวกกัทส์มาช่วย แต่สิ่งที่เสียไปไม่มีวันได้กลับคืนเพราะตอนนี้เขาเป็นเพียงชายพิการ
กรีฟีสที่หมดหวังได้ใช้ ‘Beherit’ ขอพรเพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นเหยี่ยวผู้ทรงพลังอีกครั้ง ด้วยการถวายกองทัพเหยี่ยวที่เป็นทั้งเพื่อนพี่น้องของตนเอง ที่คนซึ่งอ่าน ‘Berserk’ ในตอนนั้นต่างอ้าปากค้างกับสิ่งที่กรีฟีสทำ พร้อมกับฉากสังหารหมู่กองทัพเหยี่ยวจากเหล่าปีศาจที่มารุมรับเครื่องเซ่น ที่บอกเลยว่าโหดร้ายสุด ๆ ซึ่งฉากนี้คือความรุนแรงทั้งงานภาพและอารมณ์ที่สื่อออกมาได้อย่างลงตัว
ภาพสุดท้ายในตาขวา
ความโหดร้ายในวันนั้นยังไม่จบแต่นี่คือจุดเริ่มต้น ที่หลังจากเราได้เห็นคนของกองทัพเหยี่ยวที่คนอ่านรักและผูกพันค่อย ๆ ถูกกินไปทีละคน กัทส์ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็ได้เห็นกรีฟีสเปลี่ยนตัวเองจากชายธรรมดามาเป็นเทพปีศาจที่เรียกว่า ‘God Hand’ ที่เมื่อกรีฟีสกำเนิดใหม่ขึ้นมาบนโลกในฐานะ ‘God Hand’ คนที่ 5 เขาก็ลงมือทำมิดีมิร้ายกับคาสคาต่อหน้าต่อตากัทส์ที่จะเข้าไปช่วย แต่ก็ถูกปีศาจมาห้ามเอาไว้ด้วยการกัดแขนของกัทส์ ที่ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นนอกจากความโกรธแค้น กัทส์ที่ไม่ได้สติก็ตัดแขนตัวเองทิ้งโดยไม่ลังเลเพื่อจะไปช่วยคาสคาที่กำลังถูกย่ำยี แต่แม้จะตัดแขนตัวเองไปแล้วแต่สุดท้ายเขาก็ถูกจับและเสียตาข้างซ้ายไปในวันนั้น พร้อมกับตราประทับเพื่อบอกว่ากัทส์นั้นคือเครื่องสังเวยแก่ปีศาจที่เมื่อพบเห็นสามารถจับกินได้ ซึ่งนั่นคือภาพความโหดร้ายที่เรียกว่าย่ำยีจิตใจทั้งกัทส์และคนดูจนพูดอะไรไม่ออก ซึ่งเนื้อหาและงานภาพจริง ๆ นั้นมันยิ่งกว่านี้มาก ซึ่งถ้าเอาทั้งหมดมาอธิบายเนื้อหาคง 20+ แน่นอน
ความเชื่อที่มากเกินไป
คราวนี้เปลี่ยนมาดูความโหดร้ายทางด้านเนื้อหา ที่เสียดสีสังคมได้อย่างเจ็บแสบกันบ้าง ที่ไม่ว่าใครได้อ่านต่างก็รู้เลยว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ทุกยุค และสามารถเอามาดัดแปลงเปรียบเปรยเป็นเรื่องอื่น ๆ ได้ กับเรื่องราวของ ‘Holy Iron Chain Knights’ หรือช่วงตอน อัศวินโซ่เหล็กศักดิ์สิทธิ์บทแห่งการพิพากษา ซึ่งกองทัพอัศวินโซ่เหล็กศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่จับนักรบดำมาพิพากษากับพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้โลกนี้สงบสุข ซึ่งสิ่งที่โหดร้ายของเรื่องราวในส่วนนี้คือความเชื่อที่มากเกินไป จนมัวเมามองไม่เห็นความจริง โดยมี มอซกัส (Mozgus) ชายผู้นับถือพระเจ้าอย่างจริงจังจริงใจไม่มีแม้แต่ข้อยกเว้นให้กับบาปทั้งปวง
ยกตัวอย่างแม่ที่ไปขโมยอาหารมาให้ลูกชายที่กำลังอดตาย มอซกัสที่รับรู้ก็น้ำตาไหลรินเมื่อรู้ว่าแม่ยอมทำบาปเพื่อลูกชายที่กำลังจะอดตาย แต่บาปก็คือบาปผู้เป็นแม่ต้องถูกทรมานจนตายขณะที่ลูกชายได้รับการดูแลอย่างดี ที่บอกให้รู้ว่าพระเจ้านั้นเมตตากับผู้หลงผิดทุกคน แต่บาปก็คือความชั่วที่ต้องชำระออกไปจากใจคน และเมื่อมีพระเจ้าก็ย่อมมีปีศาจเมื่อผู้คนมองว่าพระเจ้าไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ จึงมีคนไปนับถือปีศาจและมัวเมาในความหลอกลวงที่ไม่มีจริง ซึ่งกัทส์ดันไปเป็นจุดตรงกลางของทั้งสองฝั่งที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและเกลียดปีศาจ ที่ไม่ว่าฝั่งไหนต่างก็ทำเพื่อตนเองที่ต้องการบางสิ่งโดยการยกบางเรื่องมาแอบอ้าง ที่เล่นเอาคนอ่านต่างคิดตามในสิ่งที่การ์ตูนสื่อ ที่ไม่ว่ายุคไหนสมัยใดที่แม้แต่ในบ้านเราก็ยังมีคนประเภทนี้อยู่เสมอ
เหยี่ยวแห่งแสงผู้นำเหล่าแกะขาวผู้หลงทาง
แน่นอนว่าความฝันของกรีฟีสที่ยอมหักเหล่าพี่น้องตัวเองในกองทัพเหยี่ยว คงไม่ยอมจบลงที่ตัวเองเป็นเพียงเทพปีศาจที่ปกครองและยืนดูมนุษย์อยู่เบื้องหลังเท่านั้น แต่ความฝันของเหยี่ยวขาวคนนี้ยิ่งใหญ่น่ากลัวและน่าขยะแขยงกว่านั้นมาก เพราะหลังจากที่กรีฟีสเกิดขึ้นมาบนโลกในฐานะมนุษย์ (แค่เพียงเปลือก) เขาก็ดำเนินแผนการที่ทำค้างเอาไว้สมัยที่เป็นกองทัพเหยี่ยว นั่นคือการสร้างอาณาจักรเป็นของตนเองและให้ผู้คนมาอยู่ร่วมกันโดยมีเขาเป็นผู้ปกครอง ซึ่งสิ่งที่กรีฟีสทำนั้นดูภายนอกมันคือการช่วยเหลือผู้คนที่ถูกปีศาจทำร้าย เพราะเมื่อกรีฟีสถือกำเนิดขึ้นมา โลกของมนุษย์กับปีศาจก็ซ้อนทับกันเป็นโลกเดียวจนมีเหล่าปีศาจออกมากินคน ที่ก่อนหน้านี้ในเรื่องไม่มีปีศาจมีแต่ผีวิญญาณอาฆาตกับผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่เปลี่ยนร่างเป็นปีศาจ นอกนั้นจะเป็นความโหดร้ายที่มนุษย์ทำด้วยกันเองเท่านั้น
ที่เอาจริง ๆ กรีฟีสนั่นละที่ทำให้เกิดขึ้น และเมื่อมันเกิดขึ้นมาตัวเองก็เป็นคนมาปราบปีศาจเพื่อสร้างความดีความชอบให้ตัวเอง เพื่อหลอกชาวบ้านให้เคารพบูชาเปรียบเป็นดังแกะขาวที่ตาบอด ด้วยการรวบปีศาจที่ถูกเลือกกับมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างเมืองแห่งความสงบสุขขึ้นมา ที่เล่าตรงนี้อาจจะไม่เห็นความโหดร้ายที่เราได้กล่าวมา แต่เมื่อคุณได้สัมผัสเนื้อหาคุณจะรู้ถึงเปลือกและความน่าขยะแขยงที่สื่อออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่บอกเลยว่าคุณยิ่งอ่าน ‘Berserk’ คุณจะยิ่งเกลียดกรีฟีส จนเราต้องหันกลับมามองทางฝั่งกัทส์ว่าจะเอาอะไรไปปราบทางนั้น
เหล่าสาวกและวิญญาณอาฆาต
หลังจากหัวข้อที่แล้วที่พูดถึงวิญญาณอาฆาตเหล่าสาวกที่ถูกเลือกโดย ‘Beherit’ และสัตว์ประหลาดในเรื่องนี้มันต่างกันอย่างไร ก็ต้องอธิบายแบบนี้ว่าในโลกของ ‘Berserk’ คือโลกปกติในยุคโบราณที่ใช้ดาบโล่กับการทำสงครามฆ่าฟันของมนุษย์กันเอง แต่ก็มีเหล่าปีศาจที่เรียกว่าสาวกอยู่ตามที่ต่าง ๆ พวกนี้จะไม่เปิดเผยตัวและกินคนแบบเงียบ ๆ ที่น้อยคนจะรู้การมีตัวตนของมัน ขณะที่เหล่าวิญญาณอาฆาตจะต่างออกไป ตรงที่จะมีเพียงผู้ถูกประทับตราหรือเรียกว่าเครื่องสังเวยเท่านั้นที่จะได้พบเห็น ซึ่งในทุกคืนกัทส์จะได้เจอเหล่าวิญญาณอาฆาตมาฆ่า เพื่อกินเขาดั่งอาหารที่ถูกกินเหลือ ซึ่งวิญญาณเหล่านั้นก็คือคนที่ตายทั้งที่ยังโกรธเกลียดโลกใบนี้ ยกตัวอย่างวิญญาณล้อในรูปด้านบน คือคนที่ถูกมอซกัสลงโทษด้วยการจับนอนบนล้อเกวียนและหักแขนขาทิ้งปล่อยให้ตายอย่าทรมาน จนกลายเป็นวิญญาณอาฆาต หรือบางครั้งก็มาในรูปแบบของวิญญาณที่สิงสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงกัทส์เท่านั้นเจอ แต่ก็มีหลายครั้งที่ชาวบ้านรับรู้และโดนลูกหลงไปด้วย ส่วนอีกแบบคือเหล่าสัตว์ประหลาดที่อยู่อีกมิติเหมือนโลกในเทพนิยายที่หลงมาในโลกนี้ ที่เมื่อพวกสัตว์ในเทพนิยายมาอยู่บนโลกนี้พวกมันก็ใช้ชีวิตสร้างอาณาเขตแบบสัตว์ปกติ นี่ยังไม่นับเหล่าแม่มดเอลฟ์นางเงือกเทพเจ้าและสัตว์ในเทพนิยายตัวอื่น ๆ ที่แอบซ่อนในโลกนี้อีก ซึ่งเมื่อการมาของเหยี่ยวทุกสิ่งก็ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไปนั่นเอง
Beherit ผู้มอบพลังแห่งโชคชะตาที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกัน
ปิดท้ายกับสิ่งที่บทความนี้พูดถึงมาตลอดกับวัตถุปริศนาที่เรียกว่า ‘Beherit’ สิ่งของทรงกลมรูปไข่ที่มีตาจมูกปากที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ทั่วไป ที่เจ้าสิ่งนี้เปรียบเหมือนกุญแจเพื่อเปิดประตูเรียก ‘God Hand’ มามอบพรที่ตนเองต้องการพร้อมเครื่องสังเวย ซึ่งคนที่ได้ ‘Beherit’ มาครอบครองนั้นต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกแห่งโชคชะตา ที่เมื่อจิตใจของคน ๆ นั้นดำดิ่งสิ้นหวังจนถึงขีดสุด เมื่อนั้นใบหน้าของ ‘Beherit’ จะเรียงกันจนสมบูรณ์เพื่อเรียกเหล่าเทพเจ้าออกมา ซึ่ง ‘Beherit’ ของกรีฟิกจะต่างกับคนอื่นตรงที่เป็นสีแดงเลือด ขณะที่ ‘Beherit’ คนอื่นจะสีเทา ยกตัวอย่างสาวกที่ได้ ‘Beherit’ ไปเขาคือเจ้าเมืองที่มีภรรยาและลูกที่มีความสุข พวกเขารักเคารพในพระเจ้าแห่งแสงสุดหัวใจ แต่วันหนึ่งเขาก็รู้ว่าภรรยานั้นเข้าสู่ศาสนาของปีศาจ และเธอได้สารภาพว่าเธอไม่เคยรักเขาเลย จนสามีรู้สึกสิ้นหวังสุดขีด ‘Beherit’ จึงเรียงหน้าจนครบสามีจึงเอาภรรยาอันเป็นที่รักในการสังเวย เพื่อแลกกับพลังและการไร้หัวใจแห่งความทุกข์ และถ้าใครที่ได้อ่าน ‘Berserk’ มาจะทราบดีว่าในตอนนี้กัทส์เองก็มี ‘Beherit’ เก็บไว้หนึ่งอันเหมือนกัน ต้องมารอดูว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ก็จบกันไปแล้วกับการรวมความโหดร้ายในเรื่อง ‘Berserk’ ที่เราหยิบมานำเสนอ ซึ่งเอาจริง ๆ สิ่งที่อยู่ในบทความนี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ จากทั้งหมดเท่านั้น เพราะถ้าเราหยิบเรื่องราวที่โหดกว่านี้มานำเสนอ บทความนี้คงไม่สามารถปล่อยให้คุณอ่านได้ ซึ่งคนที่เคยอ่านมังงะเรื่องนี้มาแล้วจะเข้าใจว่ามันโหดดิบเถื่อนขนาดไหน ส่วนใครที่สนใจอยากรับรู้เรื่องราวแบบเต็ม ๆ ต้องไปหาอ่านฉบับหนังสือ อย่าไปดูฉบับอนิเมะเพราะในนั้นจะตัดเรื่องราวและเปลี่ยนเนื้อหาจนดูไม่สนุกเท่ามังงะ (ถ้าอนิเมะทำตามในมังงะหมดการ์ตูนคงไม่สามารถฉายทางทีวีได้) เพราะเนื้อหาที่รุนแรงทั้งเรื่องเพศฉากอันโหดร้าย และการตีความเนื้อหาที่เสียดสีที่คุณต้องไปอ่านเองจึงจะเข้าใจ ส่วนใครที่อ่านไปแล้วก็มาพูดคุยกันได้ว่ารู้สึกอย่างไรกับมังงะเรื่องนี้ ส่วนใครที่ไม่เคยอ่านก็ขอต้อนรับสู่โลกอันโหดร้าย ที่ถ้าคุณอ่านเรื่องนี้ได้คุณก็สามารถอ่านดูเรื่องราวความโหดของโลกนี้ได้ ไม่เชื่อไปหาอ่านดูแล้วคุณจะรู้ว่ามันคือเรื่องจริงที่สุด
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส