เมื่อพูดถึงอนิเมะที่ยิ่งใหญ่และเป็นตำนานตั้งแต่อดีตมาจนถึงตอนนี้ หลายคนคงจะคิดถึงเจ้าแมวไร้หูสีฟ้าผู้มาจากอนาคตอย่าง โดราเอมอน (Doraemon) ที่จนถึงตอนนี้เราก็ยังคงได้เห็นอนิเมะออกฉายทางทีวีทั้งในบ้านเราและในญี่ปุ่นตลอด รวมถึงฉบับฉายในโรงภาพยนตร์ที่มีมาอย่างต่อเนื่องแทบทุกปี แต่ก็มีปริศนาอยู่หนึ่งเรื่องที่ถูกทิ้งให้แฟน ๆ การ์ตูนสงสัยและคิดตามเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ นั่นคือเรื่องอนาคตการแต่งงานของ โนบิ โนบิตะ (Nobi Nobita)
ที่ในตอนแรกสุดของมังงะ ‘Doraemon’ ตัวเรื่องเปิดมาพร้อมกับเป้าหมายของโดราเอมอนที่มาเพื่อเปลี่ยนอดีตไม่ให้โนบิตะแต่งงานกับ โกดะ ไจโกะ (Gouda Jaiko) น้องสาวของ ไจแอนท์ (Giant) ให้แต่งงานกับ มินาโมโต้ ชิซุกะ (Minamoto Shizuka) ที่ถ้าเราลองมาคิดดูดี ๆ การเปลี่ยนแปลงอดีตขนาดนี้มันอาจจะส่งผลถึงลูกหลานในอนาคตแบบร้ายแรงได้เลย ซึ่งแฟน ๆ เรื่องนี้ต่างพยายามคิดและหาคำตอบของคำถามนี้กันว่า สุดท้ายแล้วเรื่องการแต่งงานของโนบิตะกับไจโกะมันคือเรื่องจริงหรือโกหกกันแน่ และการเปลี่ยนอดีตที่ร้ายแรงขนาดนี้จะส่งผลอะไรถึงอนาคตบ้าง วันนี้เรามาหาคำตอบเรื่องเหล่านี้กัน ถ้าพร้อมแล้วก็ตามเจ้าแมวสีฟ้ามาดูเรื่องราวนี้ไปพร้อมกันเลย
แกนหลักของเรื่อง Doraemon คือการมาเปลี่ยนอดีต
เมื่อพูดถึงมังงะหรืออนิเมะ ‘Doraemon’ เราจะคิดถึงเรื่องราวของโนบิตะเด็กชายผู้ไม่เอาไหน ที่มักจะวิ่งร้องไห้เข้ามาในห้องตัวเองที่โดราเอมอนอยู่ เพื่อขอของวิเศษไปแก้แค้นหรือทำสิ่งที่อยากได้ที่เห็นเพื่อน ๆ มี จนหลายคนลืมไปเลยว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการ์ตูนโดราเอมอน นั่นคือการมาเปลี่ยนแปลงอดีตให้โนบิตะได้รักกับชิซุกะและแต่งงานกัน ซึ่งเรื่องนี้ได้บอกเล่ามาในตอนแรกสุดของมังงะที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1970 ที่เริ่มเรื่องมาว่าโดราเอมอนกับ โนบิ เซวาชิ (Nobi Sewashi) เหลนของโนบิตะได้เดินทางข้ามเวลามาหาปู่ทวดของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนอนาคตให้ปู่ทวดตัวเองได้แต่งงานกับชิซุกะเพื่อนสาวที่โนบิตะหลงรัก แทนที่ไจโกะที่อนาคตนั้นโนบิตะจะมีลูกหลายคนและอนาคตลูกหลานก็ยากจนและไม่มีความสุข เซวาชิจึงเดินทางมาเพื่อเปลี่ยนอดีต โดยใช้หุ่นยนต์แมวสีฟ้าไร้หูชื่อโดราเอมอนมาช่วยในครั้งนี้ ที่เรื่องนี้ได้ถูกบอกเล่าในมังงะเล่ม 0 กับเล่ม 1 ไปจนถึงอนิเมะ ‘STAND BY ME Doraemon’ ที่ก็หยิบเรื่องนี้มาบอกเล่า แต่พอเรื่องดำเนินมาผู้เขียนก็ลืมเรื่องนี้ไปจนหมด
อนาคตอันโหดร้ายของ Nobita เมื่อแต่งงานกับ Jaiko
คราวนี้มาดูอนาคตของโนบิตะที่ไม่มีโดราเอมอนมาอยู่เป็นเพื่อน และเขาได้แต่งงานกับไจโกะ เริ่มตั้งแต่การเรียนจบชั้นประถมและมัธยมมาได้อย่างเฉียดฉิวเกือบซ้ำชั้น แต่โนบิตะก็ไม่สามารถสอบเข้ามหาลัยที่ไหนได้เลยจนพ่อแม่ต้องมาเลี้ยงปลอบใจ ในปี 1988 ได้เข้าทำงานในบริษัทของพ่อและรับช่วงกิจการบริษัทต่อ ในปี 1993 บริษัทถูกไฟไหม้เพราะโนบิตะไปเล่นดอกไม้ไฟที่นั่น หลังจากนั้นก็แต่งงานกับไจโกะจนมีลูกหลายคน มาในปี 1995 บริษัทที่สืบทอดมาจากพ่อก็ล้มละลายมีหนี้สินมากมาย ครอบครัวยากจนมาถึงลูกหลาน ขณะที่ถ้าโนบิตะแต่งงานกับชิซุกะชีวิตจะมีความสุข เรียนจบการศึกษามีหน้าที่การงานที่ดีครอบครัวร่ำรวยและไม่เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นมาเลย นั่นคือสิ่งที่เซวาชิและโดราเอมอนบอกกับโนบิตะ
ผลกระทบของการเปลี่ยนอดีตที่ร้ายแรง
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเรื่องราวของการเดินทางข้ามเวลา หรืออาจจะเคยดูภาพยนตร์กับอนิเมะที่เกี่ยวกับการข้ามเวลา น่าจะทราบดีว่าการไปเปลี่ยนอดีตเพียงเล็กน้อยอาจจะส่งผลถึงอนาคตทั้งหมดได้เลย ซึ่งสิ่งที่เซวาชิเหลนของโนบิตะทำก็คือการไปเปลี่ยนอดีตให้ปู่ทวดตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น นั่นก็หมายความว่าตัวเซวาชิเองอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นมาเลยก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้โนบิตะก็ถามเซวาชิว่า ถ้าเขาแต่งงานกับชิซุกะเซวาชิอาจจะไม่ได้เกิดก็ได้ แต่เซวาชิก็บอกว่า “ยกตัวอย่างถ้าเราจะเดินทางไปโอซาก้าไม่ว่าจะทางเรือทางเครื่องบินทางรถไฟ สุดท้ายเราก็ไปถึงโอซาก้าอยู่ดี ถ้าเราไปในทิศทางที่ถูกต้อง” ซึ่งไม่ทันที่เซวาชิจะอธิบายต่อเขาก็ถูกคุณแม่เรียกให้มาทำการบ้านก่อน แต่ถ้าจะให้เราตีความก็คงจะหมายถึง ตราบเท่าที่เป็นตัวของโนบิตะไม่ว่าจะแต่งงานกับใคร ลูกหลานก็คือเซวาชิอยู่ดีไม่มีทางเปลี่ยน
ซึ่งนั่นดูขัดกับความเป็นจริงมาก ๆ เพราะถ้าเราดูในรูปตอนโนบิตะแต่งงานกับไจโก้เขามีลูกหลายคน แต่พอแต่งงานกับชิซุกะกลับมีลูกคนเดียวคือ โนบิ โนบิสึเกะ (Nobi Nobisuke) แล้วลูก ๆ ของโนบิตะคนอื่น ๆ ที่แต่งกับไจโกะไปไหน ? นั่นคือสิ่งที่ขัดกันอย่างชัดเจน และผลของการเปลี่ยนอดีตมันก็รุนแรงที่ไม่ใช่แค่กระทบเพียงแค่ครอบครัวโนบิตะ แต่มันจะขยายวงไปสู่ลูกหลานเหลนโหลนที่จะสืบต่อไปเรื่อย ๆ เป็นวงกว้างแบบไม่สิ้นสุด ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนเรื่องนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย เปรียบเหมือนทฤษฎี ‘Butterfly Effect’ ที่ถ้าเราไปฆ่าผีเสื้อในอดีตอาจจะส่งผลถึงการกำเนิดมนุษย์บนโลกได้เลย ซึ่งเรื่องของโนบิตะก็น่าจะส่งผลกระทบพอ ๆ กัน
ความพยายามของ Nobita กับการเปลี่ยนอดีต
แน่นอนว่าเมื่อโนบิตะทราบว่าอนาคตตนเองต้องแต่งงานกับไจโกะ สิ่งที่โนบิตะทำก็คือการพยายามไปขัดขวางไม่ให้ไจโกะชอบตน ซึ่งเรื่องราวนี้ถูกเล่าในมังงะ ‘Doraemon 0’ หรือเล่ม 0 ที่บอกเล่าความพยายามของโนบิตะที่จะไปเปลี่ยนใจของไจโกะ ขณะที่โดราเอมอนก็พยายามฉายภาพอนาคตของไจโกะที่มารังแกโนบิตะตอนโต จนทำให้โนบิตะพยายามจะไปแกล้งไจโกะให้เกลียดตน แต่เราก็อย่าลืมว่าไจโกะนั้นเป็นน้องรักสุดหวงของไจแอนท์ โนบิตะจึงถูกอัดไม่มีชิ้นดีทุกครั้ง จนสุดท้ายโนบิตะก็เลิกล้มความพยายามที่จะให้ไจโกะเกลียดตนเองแล้วพูดว่า “ฉันมันดวงซวยอะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิดไม่เปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว” เมื่อพูดจบไจโกะที่ได้ยินก็นับถือโนบิตะและคบกันเป็นเพื่อน จนโดราเอมอนตกใจว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
หรือ Doraemon กับ Sewashi ร่วมกันโกหก Nobita เพื่อให้เขากลัวจนมีความพยายาม
หรือถ้าคิดแบบกำปั้นทุบดินไปเลยว่า ทุกสิ่งที่เซวาชิกับโดราเอมอนพูดมาทั้งหมด เกี่ยวกับอนาคตของโนบิตะที่แต่งงานกับไจโกะนั้นคือเรื่องโกหก เพื่อให้โนบิตะหวาดกลัวจนเกิดความพยายามก็มีความเป็นไปได้สูง บวกกับการมาของโดราเอมอนจึงทำให้โนบิตะกับชิซุกะใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะไม่ว่าโนบิตะจะมีของวิเศษอะไรเขาจะคิดถึงชิซุกะก่อนเป็นคนแรกเสมอ รวมถึงการเดินทางในฉบับภาพยนตร์ ที่ชิซุกะจะได้เห็นความอ่อนโยนการเสียสละและความเก่งของโนบิตะ ที่สั่งสมมาเรื่อย ๆ จนทำให้ชิซุกะเลือกโนบิตะเป็นเจ้าบ่าว แม้ในฉบับมังงะชิซุกะจะพูดว่า “ที่แต่งงานกับโนบิตะเพราะสงสารถ้าโนบิตะไม่มีเธอจะทำอย่างไร” ที่แฟน ๆ หลายคนคิดว่านั่นอาจจะเป็นการพูดแก้เขินเสียมากกว่า ส่วนรูปที่เซวาชิเอามานั้นอาจจะเป็นการแต่งขึ้นมา เพราะไม่ว่าจะอย่างไรการเปลี่ยนอดีตก็เป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่ควรทำ เมื่อคิดแบบนั้นการคิดว่าสิ่งที่เซวาชิทำคือเรื่องโกหกจึงดูเป็นไปได้ที่สุด
Gouda Jaiko ตัวละครที่มีการพัฒนามากที่สุดในเรื่อง
คราวนี้มาดูตัวละครที่ถูกลืมอย่าง โกดะ ไจโกะ เด็กสาวผู้มีพัฒนาการมากที่สุดในเรื่อง ‘Doraemon’ ที่ในตอนแรกสุดนั้นไจโกะถูกวางบทเป็นเพียงน้องสาวไจแอนท์ที่นิสัยเสีย ชอบเห็นคนถูกรังแกและยังชอบฟ้องพี่ชายให้มาต่อยคนอื่น ๆ เรียกว่าเป็นเด็กนิสัยไม่ดีเลย แต่เมื่อเราได้อ่านมังงะ ‘Doraremon’ เรื่อยมาเราจะเห็นการเติบโตของไจโกะ ที่เปลี่ยนตัวเองจากเด็กนิสัยไม่ดี มาเป็นเด็กสาวผู้มีความฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูน ที่ใช้นามปากกาว่า “Christine Goda” ที่เริ่มต้นในช่วงแรกไจโกะนั้นวาดรูปได้ห่วยมาก ๆ จนไจแอนท์ต้องบังคับเพื่อน ๆ ให้ซื้อการ์ตูนที่น้องสาวเขียนไปอ่าน จนไจโกะรู้เห็นว่าการบังคับคนอื่นมันไม่ถูกต้อง เธอจึงพยายามฝึกเขียนมากขึ้นจนสุดท้ายเธอก็สามารถเป็นนักเขียนการ์ตูนและมีลายเส้นที่สวยงามมาก ๆ ในอนาคต จนหลายครั้งเมื่อเราเห็นเรื่องราวของไจโกะที่มาประกอบฉาก เราจะเห็นเธอพกกระดาษดินสอหรือพูดถึงเรื่องการเขียนการ์ตูนเสมอ นับเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการที่สุดในเรื่อง จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กสาวผู้มีความพยายามอ่อนโยนคิดถึงคนอื่นแบบนี้ จะโตไปเป็นภรรยาที่แกล้งสามีได้หรอ
ถ้า Shizuka กับ Jaiko ไม่แต่งงานกับ Nobita ทั้งคู่จะแต่งกับใคร
เป็นคำถามที่น่าสนใจที่หลายคนพยายามหาคำตอบ ว่าถ้าชิซุกะกับไจโกะไม่ได้แต่งงานกับโนบิตะ หรือคนใดคนหนึ่งไม่ได้แต่งงานกับโนบิตะ ทั้งคู่จะได้แต่งงานกับใคร โดยเริ่มจากชิซุกะก่อนเลยกับผู้ท้าชิงอันดับ 1 ที่เราเห็นก็คือ เดคิสุงิ ฮิเดโทชิ (Dekisugi Hidetoshi) เด็กชายสุดหล่อฉลาดที่เหมาะกับชิซุกะอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเมื่อเราย้อนกลับไปดูฉบับมังงะหรืออนิเมะ เราจะได้เห็นเดคิสุงิอยู่กับชิซุกะเสมอ และมีหลายครั้งที่เดคิสุงิก็แสดงกิริยาว่าชอบชิซุกะ ยิ่งในฉบับภาพยนตร์ ‘STAND BY ME Doraemon’ ยิ่งเป็นตัวบอกที่เด่นชัดว่าเดคิสุงิชอบชิซุกะ และต้องการให้เธอชอบเขาที่เป็นเขาไม่ใช่เพราะของวิเศษใด ๆ ที่เรียกว่ามองมุมไหนก็ดีกว่าโนบิตะผู้ไม่เอาไหนราวฟ้ากับเหว
ส่วนทางด้านไจโกะถ้าเธอไม่แต่งงานกับโนบิตะใครที่จะเป็นเจ้าบ่าวของเธอ และคนที่พอจะเป็นไปได้ที่สุดก็คือเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่ชื่อ โมเทโม โมเตะ (Motemo Mote) ที่ปรากฏตัวในมังงะ ‘Doraemon’ ฉบับที่ 44 ในชื่อตอนว่า “มังงะเรื่องใหม่ของไจโกะ” ที่ไจแอนท์กลุ้มใจเรื่องน้องสาวจนทราบว่าไจโกะกำลังมีความรักทุกคนจึงพยายามช่วย จนสุดท้ายทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกันเพราะโมเทโมก็ชอบการวาดการ์ตูน ซึ่งทุกคนก็คิดว่าการพัฒนาฝีมือของไจโกะในการวาดการ์ตูน ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากเพื่อนชายคนนี้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทำเอาแฟน ๆ หลายคนสับสนและถกเถียงกันก็คือสรุปแล้วคนไหนคือโมเทโมกันแน่ (รูปประกอบด้านล่าง) หรือไจโกะชอบผู้ชายสองคน เพราะในฉบับอนิเมะตัวละครนี้มีถึงสองแบบ แต่เมื่อเราไปหาข้อมูลก็พบว่าทางทีมงานอนิเมะในอดีตเปลี่ยนหน้าโมเทโมให้หล่อขึ้น ก่อนที่ในฉบับอนิเมะที่เอามาทำใหม่ก็วาดเหมือนเดิมในมังงะต้นฉบับแล้ว นั่นจึงพอสรุปได้ว่าไจโกะในอนาคตจะเป็นนักเขียนการ์ตูนชื่อดังและอาจจะแต่งงานกับโมเทโมก็ได้
หรือการมาของ Doraemon คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นถ้า Doraemon ไม่มาก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้
มาถึงตรงนี้เราก็ไม่สามารถสรุปเนื้อหาที่กล่าวมาทั้งหมดว่าอะไรคือความจริง เพราะคนคิดและเขียนเรื่อง ‘Doraemon’ อย่าง อาจารย์ ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ (Fujiko Fujio) ได้เสียชีวิตไปแล้ว และท่านก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้ว่าความจริงแล้วโนบิตะต้องแต่งงานกับใคร แล้วการเปลี่ยนอดีตมันถูกต้องแล้วหรือ ซึ่งไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร เราก็ได้รับรู้ว่าสุดท้ายแล้วโนบิตะก็ได้แต่งงานกับชิซุกะอย่างแน่นอน แต่ก็มีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นมาว่า “ถ้าโดราเอมอนไม่ย้อนเวลามาโนบิตะจะได้แต่งกับชิซุกะไหม” เมื่อคิดแบบนั้นหลายคนจึงคิดไปถึงทฤษฎีที่ว่า “เพราะคนในอนาคตย้อนมามันจึงเกิดสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้”
ยกตัวอย่างเรื่องบุพเพสันนิวาสที่นางเอกถูกย้อนเวลามาในอดีต จนทำให้เกิดชื่อขนมทองหยอดฝอยทอง เพราะเธอเผลอไปพูดชื่อนี้ให้คนที่คิดขนมนี้ ซึ่งถ้านางเอกไม่ย้อนอดีตไปเราคงไม่ได้เห็นขนมชื่อนี้ก็ได้ แต่เพราะนางเอกถูกย้อนไปอดีตเรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้น เช่นเดียวกับในเรื่อง ‘Doraemon’ ที่มีอยู่ตอนหนึ่งที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ ในชื่อตอนว่า “หญิงสาวในชุดสีขาว” ที่พ่อพูดถึงสาวสวยชุดขาวที่มาให้ขนมเขาในวัยเด็ก ที่สุดท้ายคนที่มาให้ขนมนั้นก็คือโนบิตะที่ย้อนเวลามาให้ขนมพ่อในตอนนั้น ที่ถ้าโนบิตะไม่ย้อนเวลามาเรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น นั่นก็หมายความว่าการมาของโดราเอมอนยังไงก็ต้องเกิดขึ้น และเมื่อโดราเอมอนมาโนบิตะก็ต้องแต่งงานกับชิซุกะเพราะทั้งคู่จะได้เดินทางร่วมกันอย่างที่เราได้บอกไป แต่นั่นก็เป็นเพียงทฤษฎีที่แฟน ๆ คิดกันเท่านั้น เอาเป็นว่าอ่านกันเอาสนุกว่ามันควรเป็นแบบนั้นแบบนี้ดีที่สุด เพราะมันคือเสน่ห์ของการ์ตูนเรื่องนี้นั่นเอง
ก็จบกันไปแล้วกับไขปริศนาว่าทำไมโนบิตะถึงต้องแต่งงานกับไจโกะแต่สุดท้ายก็แต่งกับชิซูกะ หวังว่าจะได้คำตอบกันไม่ก็น้อยในเรื่องนี้ ซึ่งเราก็ขอบอกอีกครั้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในบทความนี้เป็นเพียงความคิดของแฟน ๆ ‘Doraemon’ ที่คิดกัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าทฤษฎีเหล่านี้จะถูกต้องไหม เอาเป็นว่าอ่านกันสนุก ๆ ไม่ต้องไปจริงจังมาก แต่ถ้าใครมีทฤษฎีไอเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้แบบไหนอีกก็เอามาพูดคุยกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นการพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับวงการภาพยนตร์เกมการ์ตูน ก็รอติดตามกันได้ที่แบไต๋ที่นี่ที่เดียว รับรองว่ามีครบทุกวงการบันเทิงอย่างแน่นอนติดตามกันไว้ได้เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส