ก่อนหน้านี้เคยได้เสนอข่าวไปแล้วเบื้องต้นถึงการมาของวง Secret12 idol girl group วงใหม่ล่าสุด น้อง สมายด์ หรือชื่อจริงว่า ณัฐวรกาญจน์ ศรีเวชชานนท์ อดีตสมาชิกวง 7th Sense ก็ได้เปิดใจ หลังลาออกจากวง ย้ำตัวเองไม่เหมาะที่จะเป็นไอดอล หลังจากที่อยู่ร่วมวงมาแต่ต้นยุคก่อตั้ง หลายอย่างอาจจะใช่ หรือไม่ใช่ ความรู้สึกบางอย่างที่ขัดแย้งกันอยู่ภายใน ไปอ่านน้องให้สัมภาษณ์กันครับ
ทำไมถึงออกจากวงเดิม? [7th Sense]
สมายด์ : ที่หนูเคยให้เหตุผลไปก่อนหน้านี้ก็คือ เวลาที่จะซ้อม ที่จะร้อง คือไอดอลที่วงเก่าจะต้องซ้อมเกือบทุกวันอังคาร – ศุกร์ และวันอาทิตย์ไปที่ออดิทอเรียม แต่หนูยังติดเรียนอยู่ เรียน 5 วันต่อสัปดาห์ ทำให้หนูไม่มีเวลาพอ คือพี่ที่วงก็ให้ลาหยุดได้ แต่ถ้าหนูลาบ่อยเกินไป เหมือนเราเอาเปรียบเพื่อน และเราก็คือเองด้วยว่าเราไม่พร้อมหรือเปล่า ที่จะต้องให้คนอื่นมารอเรา เพราะเราไปช้า และช่วงนั้นก็มีธุรกิจที่้บ้านด้วย หนูก็ต้องมาช่วยงานที่บ้าน และมีฝึกงาน ที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันขาดไม่ได้ ถ้าขาดบ่อยก็เหมือนกับเราไม่มีความรับผิดชอบ และเราก็จะไม่ผ่านฝึกงาน ก็ต้องไปฝึกใหม่
และตอนนั้นก็มีเรื่องสุขภาพด้วย คือ สมายด์เป็น ไมเกรน และเหมือนกับถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะว่าซ้อมเสร็จก็ประมาณ 4 ทุ่ม บางวันก็ 4 ทุ่มครึ่ง กว่าจะกลับถึงบ้านเที่ยงคืน อาบน้ำตี 1 ทุกวันมันสะสม เลยทำให้เป็นไมเกรนช่วงนั้นบ่อย และก็ไม่สบายบ่อย ก็เลยมาคุยกันว่าหนูไม่เหมาะที่จะเป็นไอดอลหรือเปล่า เวลาของหนูมันยังไม่เหมาะสมหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ คือหนูไม่ได้เพิ่งจะมาทำวงได้แค่ 2 เดือนนะ ที่ลาออกไป หนูเริ่มต้นตั้งแต่วงยังไม่มีอะไรเลย ยังไม่มีชื่อวงเลย ยังไม่มีครูสอนร้อง ครูสอนเต้น คือพี่กันเป็นคนคิดว่า จะทำวงแบบนี้ดีไหม และให้หนูมาเป็นเมมเบอร์ คือเริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ ทำมาประมาณ 5 เดือน
คือตอนทำแรกๆ แนวทางที่คุยกันก็ยังเป็นแนวทางเดียวกัน แต่พอเริ่มมีแฟนคลับ มีเรื่องอื่นๆ เข้ามา มันเยอะขึ้น มันทำให้แนวทางที่เราคุยกันตั้งแต่แรกมันไม่เหมือนเดิม ทำให้หนูคิดว่าหนูคงจะไม่เหมาะที่จะต้องมาทำให้แฟนคลับชอบ มายืนยิ้ม คือหนูเป็นคนที่ยิ้มเก่ง อัธยาศัยดีอยู่แล้ว เข้ากับคนง่าย พูดเก่ง แต่พออะไรที่มันเยอะมากๆ แล้วหนูอึดอัด หนูก็จะไม่อยากทำ ตอนแรกเลยคุยกันก่อนว่าหนูมีปัญหาเรื่องการเรียน เรื่องการซ้อม คืออยากให้ลองปรับเปลี่ยนการซ้อม คือคนที่แบบโอเคแล้วในเรื่องทำนองเสียง ไปเรียนอีกอย่างที่จะช่วยพัฒนาความสามารถดีกว่าไหม ไม่ใช่เรียนพร้อมกันหมดเลย 23 คน เรียนเหมือนกันหมดเลย เราก็จะไม่รู้ว่าคนไหนพัฒนาการเป็นอย่างไร และในเรื่องการเต้น ก็นั่งเรียนในเรื่องเบสิค อันนี้ก็เข้าใจ แต่เวลามันบีบขึ้นเรื่อยๆ
พวกแฟนคลับเขาก็จะถามว่าเมื่อไหร่จะมีท่าเต้น เลยเสนอไปว่า ปล่อยท่าเต้นเลยได้ไหมคะ คือถ้ามาเรียนตั้งแต่เริ่มต้นเวลามันไม่พอ พอเสนอไปก็เหมือนมีเขยิบขึ้นบ้างแหละ แต่ความคิดหนูจะไม่ค่อยตรงกับคุณครู และผู้บริหารเท่าไหร่ และมันก็มีปัญหาในวงอีกแต่พูดออกมาไม่ได้ คือพอคุยกันแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ก็เลยขอออกดีกว่า ไปทำอะไรทีมันสบายใจมากกว่านี้ดีกว่า ที่มันเป็นเราจริงๆ ดีกว่าสมายด์ก็คือสมายด์ อยากให้คนรู้จักตัวตนเราจริงๆ มากกว่า คือหนูเป็คนที่ตรง คือหนูมีความสุขนะ เวลาเจอเพื่อน ทำกิจกรรม มีแฟนคลับ คือมันโอเคมาก มีคนสกรีนชื่อเราบนเสื้อ แต่พอมาดูอะไรหลายๆ อย่าง มันไม่ใช่แค่มีแฟนคลับอย่างเดียว เลยทำให้หนูตัดสินใจออกจากวงดีกว่า
ความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
มาเป็น ผจก. วง Secret12ได้ยังไง?
สมายด์ : ที่รู้กันว่าหนูออกมาจากวงไอดอลสักพักหนึ่ง ก็มีผู้ใหญ่โทรมา ว่า…จะมาทำวงใหม่ เกี่ยวกับวงเกิร์ลกรุ๊ป อยากชวนหนูให้มาเป็นผู้จัดการ หนูก็อึ้งไปพักหนึ่ง และมีคำถามแรกว่า ผู้จัดการทำอะไรบ้าง เพราะหนูไม่เคยเป็นผู้จัดการ พี่กันเขาก็บอกว่า ผู้จัดการวงนี้ไม่เหมือนกับวงอื่นๆ คือหนูอายุน้อยก็จริง แต่เขาจะให้หนูทำเหมือนกับว่า อยากให้มีส่วนร่วมกับคนในวง เช่นเป็นพิธีกรได้ แค่สวมบทบาทให้เป็นผู้จัดการวง และหนูน่าจะเป็นคนพูดตรง เข้าใจคนอื่นง่าย และเคยเป็นไอดอลมาก่อน
เขาก็คงจะคิดว่าหนูน่าจะเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของไอดอล คือให้หนูมาเป็นตัวกลาง เช่นเมมเบอร์ต้องการอะไร มีปัญหาอะไร หนูก็มาคุยกับผู้บริหารอีกทีว่าต้องการอะไร อย่างไร และหนูเป็นคนที่พูดอะไรแล้วเข้าใจง่าย หนูคิดเองนะว่าเขาน่าจะเห็นตรงนั้น(ขำ) ก็เลยให้หนูมาเป็นเหมือนคนดูแล แต่ประสบการณ์ของหนูอ่ะไม่มีเลย ในเรื่องผู้จัดการวง จัดการคน ก็บอกพี่กันไปว่าหนูไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะมีคนมาซัพพอร์ทหนูอีกที ค่อยช่วยงาน เพราะหนูไม่เคยทำมาก่อนก็จะไม่รู้ ก็ให้เรียนรู้งานไปก่อน คงไม่เกินความสามารถหรอกมั้ง ผู้ใหญ่คงไม่จ้างเรามาทำวงเขาล่มหรอกมั้ง(ขำ)
แล้วกดดันไหม?
สมายด์ : ตอนแรกก็ไม่นะ แต่พอประกาศออกไป ก็ดราม่ามาเลย แล้วหนูก็ไม่ใช่คนที่แบบด่ามาเลย รับได้ คือหนูก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อ่ะ ไม่ได้คิดว่าคนจะอะไรขนาดนี้ ก็เลยบอกพี่กันว่าหนูไม่อยากเป็นแล้ว(หัวเราะ)
เจออะไรมาบ้าง?
สมายด์ : คือหนูก็อยากเห็นนะว่ามีคนสนใจเรา ติดตามเรา คือมีคนแชร์ไปเยอะมาก ประมาณ 200 กว่าแชร์ แล้วมันโป๊ะแตกตรงที่ว่าเพจของหนู เปลี่ยนชื่อ โพสต์รูปใหม่ รูปโปรไฟล์ใหม่ แล้วพี่กันเลือกรูปเดียวกันกับที่หนูเพิ่งเปลี่ยน พวกแฟนคลับที่เขารู้จักกับหนูเชาก็เอารูปไปเทียบกัน แล้วก็บอกว่าใช่แน่นอน ก็เลยเป็นประเด็นก่อนที่จะลง VDO อีก เพราะก่อนจะลง VDO จะมีภาพที่เป็นภาพขาวดำ แต่มันเป๊ะเลย รูปเดียวกันเลย ก็เลยมีคนพูดถึงว่า “อ้าว เพิ่งจะออกมาจากวงนั้น บอกมีเวลาไม่พอ แต่จะมาเป็นผู้จัดการวง จะทำได้หรอ จะดีหรอ มาเป็นหุ่นเชิด” และมีอีกประเด็นคือ “เขาบอกว่าหนูจะมาก่อตั้งวงเอง ให้เป็นคู่แข่งกับวงเก่าหรือเปล่า” ทำไมเขาคิดเยอะจัง คือหนูไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้น คือหนูมาเป็นลูกจ้าง ไม่ได้ก่อตั้งวงเอง คือยังไม่ได้ทำอะไรเลย หนูก็คือว่าเป็นกระแสก็คงจะดังเร็ว คงมีข้อดีอะไรบ้าง ก็คิดบวกเอาไว้
แต่พอมันมาหนักๆ ก็มีแบบ “แค้นหนูบ้าง จะรอสับบ้าง” คือเขาแชร์โพสต์ไปแล้วโพสต์ว่า “รอสับนางอยู่ แค้นนาง” แล้วข่าวช่วงนั้นแบบหั่นศพกำลังดัง หนูเลยบอกกับพี่กันว่าหนูเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว หนูจะโอเคไหม พี่กันก็บอกว่าอย่าไปคิดมาก คนมีหลายประเภท แต่ก็ยังมีคนให้กำลังใจเราอยู่ มีคนบอกเป็นโอชิผู้จัดการได้ไหม ก็เลยค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย พอมันเยอะขึ้นๆ ก็เริ่มปล่อยผ่านแล้วมาทำหน้าที่ของเราดีกว่า แต่ก็ยังไม่รู้ว่าหน้าที่ชัดเจนมีอะไรบ้าง เพราะวงก็เพิ่งเริ่ม แต่ก็ยังแอบอ่านอยู่นะ ถึงพี่กันจะบอกว่าไม่ต้องไปอ่าน คือหนูเป็นคนแคร์นะ ไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลให้คนอื่นหมุนรอบตัวเรา ยังคิดอยู่ว่าจะวางตัวอย่างไร ผู้จัดการต้องทำอะไรบ้าง ถ้าเรายังทำตัวเป็นเด็กอยู่ ยังงอแง คือคนอื่นเขาก็จะคิดว่าเราจะดูแลวงได้ไหม ก็จะยิ่งโดนโจมตีหนักขึ้นไปอีก หนูก็เลยนิ่ง ละก็โตขึ้น พอมาถึงจุดนี้ก็เตรียมใจมาระดับหนึ่งว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
เคยทำอะไรมาก่อนจะเข้ามาสู่วงการไอดอลไหม?
สมายด์ : หนูเรียนการท่องเที่ยวมา คือหนูจะพูดเก่ง ตอนแรกก็ทำงานพิธีกรรายการท่องเที่ยว ทำไลฟ์แบบชวนคนพาไปกิน พาไปเที่ยว ซึ่งเป็นงานของพี่กันเหมือนกัน แต่ก่อนหน้าที่รู้จักพี่กันผ่านน้องสาวหนู พ่อกับแม่เลยแนะนำให้รู้จักหนู แบบถ้ามีงานก็ให้หนูลองไปทำ พี่กันเขาเห็นว่าหนูเข้าใจง่าย พูดง่าย ทำได้เกือบทุกอย่าง ก็ทำงานมาเรื่อยๆ จนเมื่อเดือนกุมภาพัมธ์ ช่วงที่คุกกี้เสี่ยงทายดัง เขาก็คิดว่าทำวงเกิร์ลกรุ๊ปดีไหม พี่กันก็โทรมาคุยกับหนูว่าสนใจไหม เต้นได้ไหม หนูก็บอกว่าถ้ามีคนสอนก็เต้นได้ค่ะ เพราะหนูเคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์มาก่อน 3 ปี เพราะการนับจังหวะพื้นฐานมันเหมือนกัน ส่วนร้องเพลง งูๆ ปลาๆ ก็พอร้องได้ ไม่ผิดคีย์ แต่ถ้าจะให้เพราะเลย ต้องมีคนสอน พี่กันเขาก็บอกว่าจะไปหาครูสอนร้อง สอนเต้น โอเคไหม ช่วงนั้นหนูก็มีแค่งานพาร์ทไทม์ มีเรียน ไม่ได้ติดอะไร แล้วหนูก็ชอบทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ก็ให้หนูมาลองคุยกัน ก็มีคนสอนเต้นก่อนทีแรก หนูก็เต้นได้ จากนั้นก็เริ่มหาคนมาเรื่อยๆ และก็คุยกันว่าชื่อวงอะไรดี ก็คิดกันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ออกมาเป็น 7th Sense ก็แบบ แปลว่าอะไรอ่ะพี่กัน เคยได้ยินแต่ 6th Sense มันจะไม่กุ๊กกู๋หรอ จะไม่น่ากลัวหรอ คือเป็นคนเริ่มแต่แรกๆ หลายคนจะคิดว่าเพิ่งมาทำแค่ 2 เดือนเอง ไม่ไหวแล้วหรือ คือเขาไม่รู้เลยว่าหนูทำมาก่อนหน้านี้แล้ว ซ้อมมาก่อนหน้านี้แล้ว คือเพลงสัมผัสรักนี่เอาเก็บไปฝันเลย เอาไปละเมอเลย อยากจะบอกทุกคนว่าหนูเริ่มต้นจากศูนย์ ก็รู้ตัวเองอยู่ว่า อันไหนเหมาะสมกับเรา อันไหนไม่เหมาะ ที่ตัดสินใจออกมาไม่ได้แค่ว่าไม่มีเวลาอย่างเดียว แต่ดูหลายๆ อย่าง
เท่ากับว่านับหนึ่งในวงการบันเทิงกับ 7th Sense?
สมายด์ : ใช่ค่ะ จริงๆ นับหนึ่งคือพิธีกรรายการท่องเที่ยว และก็มา 7th Sense
เป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้วหรือเปล่า ถึงเรียนการท่องเที่ยว?
สมายด์ : ใช่ค่ะ เป็นคนชอบเที่ยว เที่ยวทั้งประเทศแล้ว แต่หนูจะเที่ยวในไทยก่อนนะ หนูชอบทะเล ชอบภูเขา บ้านคุณย่าอยู่เชียงราย จะมีภูเขา คือหนูเป็นคนลุยๆ คือหนูจะอยู่กับผู้ชาย คือมีพี่ชาย น้องชาย เป็นคนลุยๆ คือช่วยงานแม่ตั้งแต่เด็ก คุณพ่อมีธุรกิจขายน้ำผลไม้ ไปขัดส้ม แบกผลไม้ คืออยากทำ ไม่ชอบอยู่เฉยๆ หนูเคยทำพาร์ทไทม์อยู่แผนกอุปกรณ์กีฬา ปีนเขาเดินป่า เขาก็จะมีแบบไปเทรนต่างจังหวัด เข้าแคมป์ คือหนูชอบเที่ยวก่อนที่จะมาเรียนการท่องเที่ยว พอมาเรียนการท่องเที่ยวปุ๊บเลยได้ไปทำพิธีกรท่องเที่ยวกับพี่กัน เลยเริ่ม 1 จากพิธีกรท่องเที่ยว และก็มาจนถึง 7th Sense แต่ไอดอลนี่หนูไม่เคยรู้มาก่อน อย่างคุกกี้เสี่ยงทายของ BNK48 ตอนที่ดังหนูก็รู้แค่ว่าเป็นวงไทยรุ่นน้องญี่ปุ่น โอตะ โอชิ ศัพท์ต่างๆ ไม่รู้เรื่องเลย
เด็กๆ ซนไหม?
สมายด์ : ถ้าอยู่โรงเรียนจะซน ชอบทำกิจกรรม แต่กลับบ้านมาจะเป็นอีกอย่าง เพราะอยู่กับยายตอนเด็กๆ คือไม่ใช่องค์หญิงนะ แต่เป็นคนรับใช้(หัวเราะ) คือพี่ชายก็จะแบบเหมือนมีคนรับใช้เป็นน้องสาว ทำให้ทุกอย่าง ส่วนยายจะดุ เวลามีงานโรงเรียนยายก็จะไปด้วย คือหนูเล่นกับเพื่อนไม่ได้เลย ต้องนิ่งๆ สุขุม แต่พอไปคนเดียวก็เป็นตัวหัวโจกเลยค่ะ แต่เป็นหัวโจกในเรื่องกิจกรรม และก็เรื่องเรียน คือตอนประถมหนูเรียนเก่งมาก แต่พอขึ้นมัธยมกิจกรรมเยอะขึ้น แต่ก็ยังเรียนได้เกรด 3 กว่าๆ ตลอด คือหนูชอบเรียนอะไรที่มันใหม่ๆ อยากตอนเป็นลีดเดอร์ คอนเซ็ปต์แต่ละครั้งมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เช่นแนวอีสาน เราก็ต้องไปฟังเพลงอีสาน และก็เต้นตามจังหวะเพลงอีสาน คือมันได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง คือชอบเรื่องการแสดง
อยากเป็นดาราไหม?
สมายด์ : คือหนูยังไม่เคยเรียนการแสดง เลยยังไม่รู้ว่าชอบไหม
แล้วเต้นล่ะ ชอบมั้ย?
สมายด์ : เต้นชอบนะ แต่ไม่อยากเป็นไอดอล
ทำไมถึงไม่อยากเป็นไอดอลล่ะ?
สมายด์ : มันอึดอัด กดดัน มีกฎเยอะ ไอดอลที่หนูเข้าใจคือเราทำให้คนชอบเรา ให้แฟนคลับชอบเราแบบใสๆ แต่จะให้หนูทำตัวโก๊ะๆ มันไม่เป็นตัวเอง คือหนูเป็นคนฉะฉาน ไม่ขี้อ้อน หนูอ้อนไม่เป็น คืออ้อนแม่อ้อนได้ แต่ให้ไปอ้อนแฟนคลับทำไม่ได้ อย่างแบบพิมพ์ “ช่วยกดไลค์เพจด้วยนะคะ” พอทำไปเรื่อยๆ มันแบบ… อย่างเฟซบุ๊กเราเองเรายังไม่ตอบคอมเม้นต์เลย พอเป็นเพจเราต้องตอบทุกเม้นต์ พอไม่ตอบแฟนคลับก็น้อยใจ คือทำตัวไม่ถูก เวลาไปยืนก็ต้องร่าเริง ยิ้ม คือหนูเป็นคนมีข้อเสียเวลาถ้าตั้งใจฟัง จะหน้านิ่งเหมือนหยิ่ง เหวี่ยง คนจะมองว่าเราทำหน้าร้าย มีครั้งหนึ่งตอนหนูตั้งใจดูครูสอนเต้น พี่เขาก็เดินมาบอกว่า ทำไมหน้าเหวี่ยง ทำไมไม่ยิ้ม หนูก็คิด ซ้อมเต้นอยู่ กำลังจริงจัง ต้องยิ้มตลอดเลยหรือ ถ้าเป็นหน้ากล้องหนูเข้าใจนะ
เราดูเป็นสาวมั่นไหม?
สมายด์ : ถามว่ามั่นใจไหม อย่างถ้าพี่มอบหมายงานให้หนูทำ หนูต้องมั่นใจก่อนว่าทำได้ ถึงจะรับทำ แต่ก็มีคนบอกมาเหมือนกันว่าหนูดูมั่นใจเกินไปหรือเปล่า มีคนหมั่นไส้นะ หนูก็คิดนะว่าทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า
คิดว่าจะปรับตัวเองไหม?
สมายด์ : คิดว่าคงจะพูดให้น้องลง รู้สึกอะไรก็เก็บไว้ สุขุมขึ้น
ที่ผ่านมาให้บทเรียนอะไรกับเรา?
สมายด์ : ที่ไหนที่มันไม่เหมาะกับเรา เราก็ออกมาดีกว่า ถ้าฝืนต่อไปก็จะต้องทนกระแสวิจารณ์
รอบนี้มั่นใจขนาดไหนกับตำแหน่ง ผู้จัดการ?
สมายด์ : มั่นใจอยู่ประมาณ 70% เพราะมันยังไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอันเลย เราแค่ได้ตำแหน่งมาเฉยๆ แต่ถ้ามีเมมเบอร์ให้ดูแล หนูก็จะดูแลเรื่องการโพสต์ เรื่องอื่นๆ เหมือนเป็นครอบครัว เพราะถ้าอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ น่าจะคุยกันง่าย ถ้ามีปัญหาก็ช่วยกัน เพราะหนูไม่ได้มีหน้าที่สั่ง คอยช่วยกันทำงาน แต่ถ้าทำไม่ไหวก็คงขอตัวช่วยแหละ
เป้าหมายชีวิตอยากอยู่ในวงการบันเทิงไหม?
สมายด์ : ก็อยากเข้าไปนะคะ แต่มันพูดยาก เพราะที่บ้านก็มีธุรกิจ แต่ด้วยความที่ไม่เคยเรียนการแสดง เลยบอกไม่ได้ว่าชอบไหม ตอนนี้เป้าหมายคือได้รับงานอะไรมาก็ทำให้ดี ถ้าเรียนรู้อะไรไปอีกเยอะๆ พอมารวบรวมงานที่เราทำมา มันจะเป็นตัวตัดสินเองว่าเราชอบไหม อย่างไอดอล พอลองทำแล้วก็รู้ว่าไม่ชอบ ถ้ามีโอกาสเป็นนักแสดงก็จะรู้ว่าชอบไหม
ว่างๆ ทำอะไร?
สมายด์ : ถ่ายรูปค่ะ สมัยมัธยมชอบให้คนถ่ายรูปให้ เลยไปลองเรียน ก็รู้สึกสนุกดีนะ พอเรารู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง เวลาว่างเราก็จะไปถ่ายรูป ชอบถ่ายรูปในสถานที่แปลกใหม่ ตอนออกทัวร์ก็จะชอบถ่ายรูปห้องนอนโรงแรม และก็ชอบดูหนัง ดูได้ทุกแนว ชอบกิน โดยเฉพาะอาหารรสจัด อาหารแปลกๆ ก็ชอบลอง ถ้าอร่อยก็จะกินต่อ อย่างเคยไปเที่ยวต่างจังหวัด เคยไปลองกินแมงเม่าคั่ว เนื้องูก็เคยลอง และก็ชอบเที่ยว อย่างงานท่องเที่ยวหนูไปเดินทุกงานเลย ชอบไปผจญภัย ชอบเล่นสวนน้ำ เคยไปสวนสยามตอนเด็กๆ เล่นตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนเย็น อย่างตอนทำรายการท่องเที่ยวมีโจทย์ให้ 500 บาท ให้ไปหาร้านอาหาร แบบให้หาให้เจอ ต้องนั่งรถ เดินไปหา พอเจอก็ถ่ายรูปส่ง
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม คือคนเราก็ไม่ได้เหมาะไปกับทุกอย่างที่ได้เข้าไปลงมือทำ เมื่อถึงจุดที่คิดว่าไม่ใช่ บางครั้งการเดินออกมาอาจจะเป็นคำตอบ ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าผลลัพธ์จะดี หรือไม่ แต่ ณ เวลานั้น คำตอบที่เลือกใช่ที่สุดแล้ว หลังจากนั้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ ก็ต้องก้มหน้ายอมรับมัน ดำเนินชีวิตต่อไป ให้ดีที่สุด เท่าที่เหมาะที่ควร เอาที่สบายใจไปต่อ
ขอบคุณ : น้อง สมายด์ คุณกัน Secret12