Release Date
29/03/2023
ความยาว
134 นาที
ผลงานก่อนหน้าของผู้สร้าง
'Horrible Bosses' (2011), 'Spider-Man: Homecoming' (2017), 'Game Night' (2018)
Our score
7.5Dungeons & Dragons: Honor Among Thieves
จุดเด่น
- หนังมอบความบันเทิงได้เต็มเปี่ยม นักแสดงเคมีดีส่งมุกหน้าตายกันได้ฮามาก จังหวะการเล่าก็แม่นยำ
จุดสังเกต
- โปรดักชันเกือบอลังการแต่ซีจีมีจุดลอยหลอกตาเยอะเหมือนกัน ช่วงต้นกลางทำดีแต่ปลายแผ่วลงไปสักหน่อย หนังมีศัพท์เฉพาะของพวกเกมแฟนตาซีพอควรแต่ก็เข้าใจได้
-
บท
7.5
-
โปรดักชัน
6.0
-
การแสดง
7.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
9.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.0
เรื่องย่อ: หัวขโมยผู้มากเสน่ห์และกลุ่มนักผจญภัยที่ไม่น่าจะร่วมมือกัน ได้ลงมือปล้นครั้งยิ่งใหญ่เพื่อกอบกู้โบราณวัตถุที่สาบสูญไป แต่สิ่งต่าง ๆ กลับไม่ง่ายดังคาดเมื่อภารกิจนี้ยุ่งเกี่ยวกับจอมอสูรสุดอันตราย
โลกรู้จัก ‘Dungeons & Dragons’ ในฐานะเกมกระดานที่ผู้เล่นได้สวมบทบาทตัวละครสมมติมาตั้งแต่ปี 1974 และมันก็สร้างฐานแฟนที่คลั่งไคล้โลกแฟนตาซีในอาณาเขตปริศนาหรือ ดันเจียน จนแทบกลายเป็นวัฒนธรรมหรือกลุ่มลัทธิใหม่ไปเลย ใครนึกภาพไม่ออกว่าเด็กฝรั่งอินกับเกมนี้ขนาดไหนให้นึกภาพเหล่าตัวเอกของซีรีส์ ‘Stranger Things’ ที่เล่นเกมนี้กันได้โต้รุ่งหรือกำเนิดเป็นชมรมหลังเลิกเรียนมาแล้ว ทั้งนี้เมื่อมาถึงยุคของเกมคอมพิวเตอร์ก็มีหลายต่อหลายเกมที่ใช้เกมกระดานดังกล่าวไปต่อยอดออกมา ทั้งเกมชุด ‘Baldur’s Gate’ หรือ ‘Neverwinter Nights’ ซึ่งได้นำชื่อเมืองในเกมกระดานมาใช้เป็นต้น
สำหรับโลกภาพยนตร์ฉบับคนแสดงก็เช่นกัน ด้วยความโด่งดังข้ามปีข้ามยุคของเกม จึงมีการพัฒนาหนังฉบับไตรภาคออกมาในปี 2000 จนถึง 2012 และเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าผิดหวังจนแฟนเกมแทบไม่อยากนึกถึง ขนาดว่าภาคแรกได้นักแสดงรางวัลออสการ์อย่าง เจเรมี ไอออนส์ (Jeremy Irons) มาร่วมแสดงแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แน่นอนว่าสินทรัพย์ทรงคุณค่าเช่นนี้หลังดราม่ายื้อแย่งสิทธิ์กันมาหลายมือ ค่ายเจ้าของลิขสิทธิ์ในปัจจุบันจึงไม่มีทางปล่อยให้หนังตายไปโดยง่าย และนำมาซึ่งการรีบูตฉบับหนังในปีนี้เอง
‘Dungeons & Dragons: Honor Among Thieves’ ได้ผู้กำกับไม่คุ้นหูแต่ผลงานน่าสนใจอย่างสองคู่หู จอห์น ฟรานซิส ดาลีย์ (John Francis Daley) และ โจนาธาน โกลด์สไตน์ (Jonathan Goldstein) ที่เคยร่วมกันเขียนบท ‘Spider-Man: Homecoming’ (2017) และ ‘Horrible Bosses’ (2011) ส่วนงานกำกับก็มีผลงานมัน ๆ อย่าง ‘Game Night’ (2018) ที่เคยเป็นกระแสปากต่อปากในโซเชียลมีเดียอยู่ช่วงหนึ่งด้วย
หนังยังได้ดาราแม่เหล็กมายกทีมทั้ง คริส ไพน์ (Chris Pine) ในบทสายลับวณิพกมากเสน่ห์ มิเชล โรดริเกซ (Michelle Rodriguez) ในบทคนเถื่อนสุดแกร่ง เรเก-ฌอง เพจ (Regé-Jean Page) ในบทอัศวินเวทผู้เถรตรง จัสติก สมิธ (Justice Smith) ในบทจอมเวทฝึกหัดผู้ขาดความเชื่อ และสาวน้อยหน้าหวานอย่าง โซเฟีย ลิลลิส (Sophia Lillis) ที่สวยน่าจับตามองในบทของปีศาจสาวจำแลงกาย โดยยังได้รุ่นใหญ่ที่ช่วงหลังรับเชิญในหนังดังไปทั่วอย่าง ฮิว แกรนต์ (Hugh Grant) มารับบทจอมโจรอาวุโส และยังมีอีกหนึ่งดารารับเชิญลับที่มาเซอร์ไพรส์เนียน ๆ ด้วย
ตัวหนังเลือกอาชีพของตัวละครมาได้แบบคลาสสิกมาก คือเอาอาชีพและคลาสตัวละครในเกมกระดานยุคแรกมาใช้ ทั้งนักสู้หรือคนเถื่อน จอมเวทหรือนักบวช พ่วงด้วยจอมโจรและพาราดินหรืออัศวินเวท นอกจากนี้ยังเสริมด้วยดรูอิกหรือเผ่าปีศาจที่มีพลังแปลงกาย นอกจากนั้นหนังยังพาเราไปแวะเวียนเมืองที่มีชื่อเสียงในเกมอีกหลายเมืองผ่านการเดินทางของตัวละครด้วย
มาถึงตรงนี้สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นเกมอาจจะเริ่มหวั่นใจว่า อย่างนี้คงไปดูไม่รู้เรื่องแน่ ซึ่งก็จริงเพียงเล็กน้อย หลายครั้งหนังพูดชื่อเฉพาะที่ทำเอาอยากรู้เหมือนกันว่าคืออะไร แต่มันก็ไม่ได้มากขนาดจะดูหนังไม่รู้เรื่อง ต้องบอกว่าผู้สร้างอาจจะเอาใจกลุ่มคนดูหนังมากกว่าคนเล่นเกมเสียด้วยซ้ำ เพราะแม้มันจะไม่ค่อยปูพื้นหลังของโลกนั้นให้เรารู้เท่าไร แต่มันก็ค่อย ๆ เล่าให้เราเข้าใจไปเองจากการเดินหน้าแบบไม่หยุดยั้งของเรื่องราว
ความต้องการเล่าเรื่องให้เข้าใจง่ายเพื่อชดเชยกับชุดข้อมูลที่ผู้เล่นเกมแนวนี้ถึงจะเข้าใจ มันก็เป็นดาบสองคมเพราะโครงเรื่องเล่าง่ายเสียจนต้องบอกว่าหนังแทบจะเป็นสูตรสำเร็จที่เราเดาก้าวต่อไปไม่ยากเลยตลอดเรื่อง และแม้เสน่ห์จากความบันเทิงมันจะหล่อเลี้ยงให้เราสนุกจนหลงลืมความธรรมดาไปได้พักใหญ่ แต่พอหนังยาว 2 ชั่วโมงกว่า ช่วงหลังของหนังที่ควรจะเพิ่มดีกรีความสนุกให้สุดขีดเรากลับรู้สึกว่าหนังมันแผ่วความสนุกลงมาพอควร
แต่หนังก็มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจำนวนมากให้เราหลงลืมความเชยของมัน มีสถานที่ มีผู้คนและเหตุการณ์จุดพลิกผันให้ใส่ฉากแอ็กชันอันหลากหลาย ตั้งแต่คุกอันหนาวเหน็บ สมรภูมิร้างที่มีแต่ภูติผี มหานครแห่งเกมเอาชีวิตรอด ดันเจียนลับใต้ภิภพที่มีมังกรยักษ์ ไปจนถึงลานประลองมรณะ คือพูดแค่นี้ก็คงพอนึกออกว่านี่มันคือหนังแอ็กชันแฟนตาซีแบบที่เด็กโปรดปรานเลย มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจเยอะมาก หัวใจพองโตกับมันมาก
และอีกสิ่งที่ทำให้หนังที่ทรงมาแฟนตาซีเกรดบีเรื่องนี้มีเสน่ห์จัด ๆ เลยก็คือ บทหนังที่ปั้นแต่งตัวละครแต่ละตัวได้โคตรน่าสนใจ ยิงมุกกันรัว ๆ หลายมุกก็ต้องยอมรับว่ามันคือมุกควายดี ๆ นี่ล่ะ แต่จังหวะการเล่ามันใช่มาก ทำเอาหัวเราะออกมาเสียงดังได้บ่อยครั้งแบบไม่คิดจริง ๆ ว่าจะมาฮาแตกกับหนังเรื่องนี้ อะไรที่เห็นในตัวอย่างพออยู่ในหนังจริงมันขยี้มุกได้เป๊ะขึ้นไปอีก โดยเฉพาะทีมปล้นของพระเอกนี้เคมีส่งรับกันเยี่ยมมาก ไพน์เองก็สาดเสน่ห์ไม่หยุด ความกะล่อนปากมากตลกร้ายหน้าตายมันไปได้สุดมาก จะบอกว่าให้รสชาติความกวนความฮาไม่ต่างจากแก๊ง ‘Guardians of the Galaxy’ (2014) ของมาร์เวล ในธีมโลกแฟนตาซียุคกลางเลยทีเดียว
นานแล้วที่เราไม่ได้เอนจอยกับหนังที่มันสนุกธรรมชาติขนาดนี้ เป็นความเซอร์ไพรส์ที่ไม่ได้คาดหวังเลยว่าหนังทรงนี้จะทำเอาเราหลงรักได้ขนาดนี้ ให้เทียบความรู้สึกก็คงคล้ายตอนที่บังเอิญได้ดูแล้วตกหลุมรักสุด ๆ กับ ‘Stardust’ (2007) ผลงานเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ แมทธิว วอห์น (Matthew Vaughn) ก่อนเขาจะโด่งดังกับการปั้นแฟรนไชส์ฮิตอย่าง ‘Kick-Ass’ และ ‘Kingsman’ ในเวลาต่อมา คือหนังมันไม่ได้มาโทนเดียวกันหรอกแต่ความประทับใจจากการดูมันตรึงใจเหมือนกัน
เชื่อว่าบางทีสองผู้กำกับดาลีย์และโกลด์สไตน์เองอาจจะทำให้ ‘Dungeons & Dragons’ กลับมาเป็นแฟรนไชส์ที่บันเทิงสุด ๆ มีภาคต่อที่คอหนังรอคอยมากที่สุด หรืออาจเป็นก้าวแรกที่จะพาพวกเขาไปโลดแล่นในหนังเรื่องถัดไปกับค่ายใหญ่กว่าน้อีกก็เป็นได้ น่าจับตามองครับ
ส่วนตอนนี้ขออิ่มเอมความสุขจากหนังทรง B แต่มีของดีทรง B++ เรื่องนี้ก่อนล่ะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส