Release Date
20/04/2023
ความยาว
128 นาที
Our score
7.0Hidden Blade
จุดเด่น
- โปรดักชันภาพสวยมาก ดนตรีสร้างบรรยากาศกดดันได้เยี่ยม การแสดงคือมาสเตอร์คลาส หวังอี้ป๋อเฉิดฉายสุด ๆ
จุดสังเกต
- การตัดต่อจงใจทำให้ซับซ้อนและเข้าใจยากมากเกินไปโดยไม่จำเป็นขนาดนั้นเลย หนังเป็นดราม่าธริลเลอร์ที่เน้นการเดินเรื่องผ่านการพูดและการสื่อสารด้วยภาษากายเสียส่วนใหญ่ และขาดแคลนฉากแอ็กชันไปเสียหน่อย แต่ขอโทษเถอะพอแอ็กชันมาทีก็มาแบบโคตรเข้มโคตรคุ้มเลย
-
บท
6.5
-
โปรดักชัน
8.0
-
การแสดง
9.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
6.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
5.5
เรื่องย่อ: เมื่อประเทศอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ คนธรรมดากลุ่มหนึ่งได้เสี่ยงชีวิตตั้งขบวนการใต้ดินเพื่อส่งข่าวกรองและปกป้องแผ่นดินเกิดของตัวเอง หนังมีพื้นหลังของเรื่องอยู่ในช่วงปี 1937 – 1945 ที่ทหารญี่ปุ่นบุกโจมตีท่าเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ และประกาศสงครามกับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอังกฤษ สหรัฐฯ อีกทั้งยังเข้ายึดเซี่ยงไฮ้ของจีน จากเหตุสงครามที่เกิดขึ้นส่งผลให้สถานการณ์สงครามในจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เป็นสายลับใต้ดิน จึงต้องเสี่ยงอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตเพื่อส่งข้อมูลลับออกไปขัดขวางการเจรจาระหว่างญี่ปุ่นกับเจียงไคเช็คให้ได้ เพื่อปกป้องมาตุภูมิของพวกเขา
ความรู้สึกก่อนดูคือความกังวลจากการดูตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมาก่อนหน้า ว่านี่จะเป็นหนังเงียบหรือเปล่า เพราะแทบไม่มีฉากตัวละครพูดกันเลย (ฮา) แต่อย่างน้อยก็ขอยืนยันได้ว่าหนังมีการสนทนาแถมหลายภาษาเสียด้วยทั้งจีน (หลายถิ่น) และญี่ปุ่น โชคดีที่เรามีซับไทยแปลให้ทั้งหมดทำให้ติดตามเรื่องราวได้ลื่นไหล
หนังเป็นผลงานกำกับจากผู้กำกับที่มีผลงานระดับกลาง ๆ ที่ครึ่งทศวรรษถึงจะทำหนังสักเรื่องอย่าง เฉิงเอ๋อร์ (Cheng Er) ที่ว่ากันตามตรงนักดูหนังนอกจีนก็คงแทบไม่รู้จัก ความน่าสนใจในระดับปรากฏการณ์ครั้งนี้ จึงน่าจะมาจากที่ตัวหนังได้ดาราระดับโลกอย่าง เหลียงเฉาเหว่ย (Tony Leung Chiu-wai) มาประกบกับดาราดาวรุ่งแห่งเอเชียอย่าง หวังอี้ป๋อ (Wang Yibo) นั่นเอง
เนื้อหาของหนังอิงประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเด็นปฏิปักษ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น ซึ่งก็แบ่งเป็นหลากฝักฝ่าย ทั้งรัฐบาลจีนที่เลือกข้างญี่ปุ่น ฝั่งญี่ปุ่นผู้รุกราน ฝั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่นอยู่ใต้ดิน ให้นึกภาพตามก็คงอารมณ์ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น เสรีไทย และรัฐบาลจอมพล ป.
ซึ่งก็คงเป็นความสนใจของเฉิงเอ๋อร์เองที่เลือกนำเสนอประวัติศาสตร์ช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง หลังจากทำหนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์เรื่องก่อนหน้าอย่าง ‘The Wasted Times’ (2016) ที่ได้ จางซิยี่ (Zhang Ziyi) และ อาซาโนะ ทาดาโนบุ (Asano Tadanobu) มาประกบกันเล่าความสัมพันธ์คนจีนและทหารญี่ปุ่นผ่านช่วงเวลาหลายสิบปีได้อย่างน่าสนใจ จนทำให้เหลียงเฉาเหว่ยที่ได้ดูหนังสนใจมาร่วมงานกับฉางเอ๋อร์ด้วย
ซึ่งการพลิกจากหนังดราม่าที่ซับซ้อนเล่าหลายไทม์ไลน์ในเรื่องก่อน มาสู่หนังดราม่าธริลเลอร์ใน ‘Hidden Blade’ นั้นก็ยังคงเห็นลายเซ็นการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนของเฉิงเอ๋อร์ หนังเลือกเปิดเรื่องด้วยหลายเหตุการณ์ที่ยึดโยงกันไม่ได้ เหมือนผู้กำกับสุ่มฉีกหน้ากระดาษจากแต่ละบทของหนังสือมาเย็บรวมกันแล้วใส่เป็นบทนำ ช่วง 15-20 นาทีแรกของหนังจึงเป็นความงุนงงและชวนทรมานในการทำความเข้าใจไม่น้อย ยังดีว่าหนังมีการกำกับศิลป์และการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยม เป็นงานศิลปะที่ทรงพลังมากถึงดูประดิษฐ์แต่ก็ดูจริงจนน่ากลัว อาทิ ฉากที่ทหารญี่ปุ่นลงโทษพวกแรงงานจีนอย่างน่าสยดสยอง
แต่เมื่อหนังเริ่มเล่าเรื่องแกนหลักตามลำดับเวลา เราก็จะเริ่มเห็นเนื้อแท้ของหนังว่ามันคือหนังแนวธริลเลอร์สายลับสองหน้าที่ต้องหลอกล่อและเอาตัวรอดภายใต้สถานการณ์กดดันท่ามกลางหมู่ศัตรู โดยหนังก็ทั้งพยายามซ่อนว่าเบื้องหลังจริงของแต่ละคนเป็นอย่างไร ทั้งพยายามเล่าไม่ครบประโยคที่หากไม่มีความเข้าใจในประวัติศาสตร์ช่วงนั้นก็แทบไม่เข้าใจเลยว่าฉากนั้นจะนำไปสู่อะไรเพราะหนังเว้นคำอธิบายไว้อย่างจงใจ แต่ก็ยังไม่ลืมปล่อยคำใบ้ที่ชัดเจนมากพอให้เราเดาถูกว่าใครคือสายลับเพื่อเอาใจช่วยตัวละครหลักไปด้วยได้
และพอจับทางเรื่องได้ว่าแต่ละตัวละครมีความสัมพันธ์กันอย่างไร พอเข้าใจว่าทีมปฏิบัติการข่าวกรองพิเศษที่เหลียงเฉาเหว่ยเป็นหัวหน้าและมีหวังอี้ป๋อเป็นสมาชิกนั้นทำงานให้ญี่ปุ่นในแง่มุมใด มีฝักฝ่ายใดบ้างในเรื่อง เราก็จะเริ่มสนุกกับมันมาก ๆ ยิ่งตัวละครมีความสีเทาในพวกเดียวกันก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีมันก็ทำให้สูตรการเล่าเรื่องไม่ตายตัวจนเดาง่ายเลย
สิ่งที่ชอบมากพอ ๆ กันหรืออาจมากกว่างานศิลป์ของหนังที่ชมไปแล้ว นั่นก็คือการแสดงที่เขี้ยวลากดินเก็บกันละเอียดทุกเม็ดทั้งภาษากายและสายตา รอยยิ้มจาง ๆ ที่บางทีมาแวบเดียวจนต้องคอยสังเกตเพราะมันอาจให้คำใบ้อะไรบางอย่างอยู่ และไม่ได้ดีแค่ตัวละครหลัก พวกตัวประกอบตัวเสริมก็คุณภาพคับแก้วไม่ต่างกัน
ซึ่งสำหรับสองดารานำต่างรุ่นก็ต้องบอกว่าผู้กำกับวางเวทีให้แบบโคตรดี เหลียงเฉาเหว่ยเราไม่มีข้อติงเรื่องการแสดงอารมณ์อยู่แล้วแต่ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นการแสดงฉากแอ็กชันที่หนังมีไม่มากแต่มีทีคืออย่างเดือด ไม่เห็นเหลียงเฉาเหว่ยเล่นโคตรโหดขนาดนี้มานานมากแล้ว ในขณะที่หวังอี้ป๋อเองก็มีพื้นที่ให้โชว์ของเยอะมาก ทั้งฉากอารมณ์ที่ซับซ้อน แค้นแต่ต้องสะกดไว้ สงสัยแต่ก็ต้องทำว่าเชื่อมั่น ความสูญเสียระดับที่หัวใจพังทลาย หรือพอจะต้องโชว์ความโหดเหี้ยมของนักฆ่า เขาก็ส่งพลังได้น่ากลัวจนขนลุก ถ้าจะว่าไปหนังเรื่องนี้คือมาสเตอร์คลาสการแสดงในแบบจีนที่เฉพาะตัวไม่เหมือนชาติใดจริง ๆ แล้วน่าศึกษาวิธีการเล่นในทุกตัวละครเลยทีเดียว
โดยสรุปหนังมีภาษาของตัวเองตามลายเซ็นผู้กำกับที่ทำให้มันเข้าใจยากเกินความจำเป็น จะเล่าสลับไทม์ไลน์ให้ซับซ้อนเพื่อหักมุมหรือเฉลยมันก็ทำได้ แต่การวางเรียงมันสามารถทำให้ง่ายกว่านี้ได้เยอะมาก และว่ากันตามตรงถึงเล่าไปตามลำดับปกติหนังก็มีความน่าติดตามไม่น้อยอยู่แล้ว คือเสียดายในความพยายามยากเกินจำเป็นของหนังเหมือนกัน เพราะมันทำให้ข้อดีมาก ๆ อย่างการแสดงหรืองานภาพถูกผู้ชมที่มัวแต่ทำความเข้าใจเรื่องอยู่มองข้ามไปได้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส