Release Date
16/06/2023
ความยาว
122 นาที
ผลงานที่ผ่านมาของผู้กำกับ
Extraction คนระห่ำภารกิจเดือด (2020)
Our score
7.0Extraction 2
จุดเด่น
- ความทะเยอทะยานในฉากแอ็กชันที่แสดงออกชัดมากขึ้นในแง่ขนาดและความคิดสร้างสรรค์ มีนักแสดงที่น่าสนใจมาร่วมงามมากขึ้น มีฉากดราม่าที่ทำได้ค่อนข้างดี มีการใส่ส่วนเนื้อเรื่องที่ปูทางให้ ไทเลอร์ เรก เป็นตัวละครที่น่าจดจำต่อยอดอนาคตแฟรนไชส์ได้ดี
จุดสังเกต
- ความเทอะทะในการสร้างทำให้เกิดบาดแผลไม่น้อย เช่นฉากที่ไม่สมจริงจนตลก การพึ่งพาซีจีมากขึ้นจนดูไม่สมจริงในบางช่วง ลองเทคอาจเป็นความเกินจำเป็นในบางแง่ ดราม่าเชยไปหน่อย ความตึงเครียดของเมืองปิดล้อมแบบในภาคแรกสัมผัสได้น้อยลง และจักรวาลที่ขยายใหญ่ขึ้นแต่ยังรู้สึกกลวงอยู่ต้องรอส่วนขยายในภายหลัง
-
บท
5.5
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
6.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
8.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
8.0
เรื่องย่อ: ไทเลอร์ เรก ทหารรับจ้างที่รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ในปฏิบัติการที่อินเดีย ได้รับมอบหมายภารกิจใหม่ให้ช่วยเหลือครอบครัวคุณแม่ลูกสองจากคุกภายใต้น้ำมือของแก๊งอันธพาลชาวจอร์เจียผู้โหดเหี้ยม
หลังจากภาคแรกในปี 2020 ที่เป็นผลงานกำกับครั้งแรกของผู้กำกับ แซม ฮาร์เกรฟ (Sam Hargrave) ผ่านมา 3 ปี ฮาร์เกรฟก็ยังไม่ได้มีผลงานเรื่องอื่นเลยราวกับ ‘Extraction 2’ ได้รวมความสนใจทั้งหมดในชีวิตของเขาเอาไว้ ด้วยความทะเยอทะยานที่มากกว่าเดิมทั้งจำนวนทีมงาน ฉากลองเทคกว่า 20 นาที ออกกองถ่ายทำใน 3 ประเทศด้วยสเกลขนาดใหญ่ตั้งแต่คุก รางรถไฟ ไปจนถึงตึกระฟ้า
แม้ว่าอนาคตเราอาจจะได้เห็นหนังเรื่องอื่นที่อยู่ในขั้นเตรียมงานสร้างที่ออกนอกจักรวาลของ ‘Extraction’ บ้าง เช่น ซีรีส์แนวแอกชันระทึกขวัญกลางทุ่งหิมะ ‘The Last Frontier’ ที่จะแสดงนำโดย เจสัน คลาก (Jason Clarke) และหนังซูเปอร์ฮีโร ‘Prophet’ จากค่าย Image Comics เจ้าเดียวกับคอมิก ‘The Walking Dead’ ที่ฮาร์เกรฟจะได้ร่วมงานกับ เจก จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) ซึ่งก็คงเป็นเรื่องของอนาคต แต่ก็ช่วยให้เห็นได้ว่าฮาร์เกรฟไม่ใช่ผู้กำกับที่ถูกมองข้ามจากค่ายหนัง แต่เขาเลือกใส่พลังเต็มที่กับ ‘Extraction 2’ เรื่องนี้มากขนาดไหน
หนังเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งของฮาร์เกรฟกับมือเขียนบทอย่าง โจ รุสโซ (Joe Russo) ผู้กำกับและมือเขียนบท ‘Avengers: Endgame’ (2019) โดยดัดแปลงจากกราฟิกโนเวล ‘Ciudad’ ที่มีฉากหลังในเมืองซิวดัด เดล เอสเต (Ciudad del Este) เมืองเสื่อมทรามทางศีลธรรมของปารากวัย ซึ่งพลอตก็ถูกหยิบมาใช้แบบหลวม ๆ
จากซิวดัดเมืองอันตรายในกราฟิกโนเวล มาเป็นประเทศบังกลาเทศที่ออกโทนร้อนแบบประเทศโลกที่สามในหนังภาคแรก และมาสู่อดีตโซเวียตอย่างสาธารณรัฐจอร์เจียที่ออกโทนเย็นเหน็บหนาวตัดกันอย่างสิ้นเชิงในหนังภาคนี้ โดยยังคงยึดเส้นเรื่องง่าย ๆ ของการช่วยเหลือคนอ่อนแออย่างเด็กหรือผู้หญิงหลบหนีกลางดงศัตรูที่อยู่ทุกหัวระแหง เปิดทางให้ใส่ฉากแอ็กชันตระการตาตลอดทั้งเรื่องได้อย่างดี และน่าจะเป็นธีมสำคัญที่ทำให้โดดเด่นต่างจากหนังประเภทเดียวกันเรื่องอื่น
พอมีภาค 2 มาต่อยอดก็ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น และอาจพอนิยาม ‘Extraction’ ได้ว่า เป็น ‘Black Hawk Down, but John Wick’
ในภาคนี้นอกจาก คริส เฮมเวิร์ธ (Chris Hemsworth) จะมารับบทเดิม ไทเลอร์ เรก ที่แทบจะโชว์เดี่ยวในหนังภาคแรก ในภาคนี้จะได้เห็นผู้ช่วยอย่าง นิก ข่าน (กอลชิฟเทห์ ฟาราฮานี – Golshifteh Farahani) และน้องชายของเธอ แยซ (อดัม เบสซา – Adam Bessa) ที่เคยปรากฏตัวในภาคแรกมาแล้วจะมีบทบาทมากขึ้นขนาดเป็นตัวนำร่วมได้เลย และมีฉากโชว์ความสัมพันธ์พี่น้องตระกูลข่านที่ทำได้น่าจดจำมากด้วย
นอกจากนี้หนังยังเพิ่มความเป็นบล็อกบัสเตอร์ โดยได้สาวบอนด์ โอลกา คูรีเลนโก (Olga Kurylenko) จาก ‘Quantum of Solace’ (2008) และยังได้ อิดริส เอลบา (Idris Elba) จาก ‘Thor’ มารับบทสำคัญที่อาจส่งผลต่ออนาคตของแฟรนไชส์ ซึ่งคงต้องขอให้ไปรับชมในเรื่องกันเอง ใบ้ได้เพียงว่าคูรีเลนโกมาช่วยเพิ่มมิติมนุษย์ให้พระเอก ส่วนเอลบามาขยายจักรวาลของเรื่องให้กว้างขึ้นไม่ต่างจาก นิก ฟิวรี ในมาร์เวล
ฝั่งตัวร้ายในภาคนี้ก็เพิ่มดีกรีความโหดได้น่าสนใจทั้งตัวร้ายหลักอย่าง ทอร์นิเก โกกริเชียนี (Tornike Gogrichiani) ที่มีความเป็นมาเฟียและเจ้าลัทธิที่ทำให้ผู้ติดตามยอมถวายชีวิตให้ โดยมีมิติตัวละครที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ตัวร้ายสีดำทื่อ ๆ ส่วนในฝั่งสมุนสายบู๊ก็ยังได้สายสตันท์แมนเช่น แดเนียล แบร์นฮาร์ดต์ (Daniel Bernhardt) และสแตนด์อินของเฮมเวิร์ธอย่าง จัสติน โฮเวลล์ (Justin Howell) ก็ได้มารับบทเบื้องหน้าเต็มตัว รวมถึงนักมวยปล้ำอาชีพ เลวาน ซากินาชวิลี (Levan Saginashvili) ซึ่งต้องบอกว่าหนังออกแบบแต่ละตัวละครให้มีจุดเด่นในฉากแอ็กชันได้ดี ยิ่งซากินาชวิลีนี่คือดึงจุดเด่นร่างกายใหญ่โตกลายเป็นรถถังติดปืนกลเดินได้เลย
ส่วนที่น่าสนใจคือ หนังยังได้ เกรก บัลดิ (Greg Baldi) ผู้กำกับภาพที่ผ่านงานถ่ายคิวบู๊มากประสบการณ์จาก ‘John Wick: Chapter 3 – Parabellum’ (2019) และได้ อเลกซ์ โรดริเกวซ (Alex Rodríguez) มือตัดต่อที่เคยผ่านหนังสุดยอดลองเทค ‘Children of Men’ (2006) มาแล้ว นับว่าเป็นการเลือกทีมงานที่น่าสนใจมาก และทำให้ด้านโปรดักชันนั้นอลังการสมการรอคอยมีฉากขนาดใหญ่ที่ขายได้หลายฉากให้จดจำ
แม้หนังจะมีเนื้อเรื่องที่เข้าถึงง่าย มีการขยายเพิ่มความเป็นมนุษย์ของเรกด้วยการเผยด้านอ่อนแอที่ติดค้างในใจ เป็นการเคลียร์อดีตเพื่อเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงขึ้น และขยายเรื่องราวด้วยองค์กรใหม่ ๆ เรียกได้ว่าเป็นภาคต่อที่ทำหน้าที่สะพานได้ค่อนข้างดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อด้านหนึ่งหนังนำเสนอตัวเองเป็นแอ็กชันนันสต็อปพอหนังมีจังหวะพักหายใจด้วยดราม่าขนาดย่อมที่เชย ๆ มันเลยดูขืนจังหวะหนังอยู่นิดหน่อย
นอกจากนี้ความทะเยอทะยานในการออกแบบฉากแอ็กชันขนาดยาวอย่างลองเทค เมื่อพิจารณาว่าเป็นลองเทคที่ซ่อนการตัดต่อเชื่อมไว้ผสมเทคเข้าด้วยกันหลายช่วง เราจึงสัมผัสได้ตั้งแต่ช่วงที่มีความดิบของแฮนด์เฮลด์รุนแรงจนดูไม่เคลียร์ มาเป็นลองเทคงาม ๆ ที่โชว์คิวแอ็กชันเทพ ไปจนถึงฉากที่เห็นซีจีลอยหลอกตาชัดเจน หรือฉากที่ต้องยอมปล่อยให้โม้จนตลกแบบโดนปืนกลยิงถล่มแต่ยืนหลบหลังบันไดลิงแล้วไม่ถูกกระสุน
ซึ่งยิ่งพอเทียบกับหนังเน็ตฟลิกซ์ที่โชว์ลองเทคในฉากจลาจลกลางเมืองแบบสมจริงอย่าง ‘Athena’ (2022) ก็ทำให้คิดว่าบางทีลดเวลาของลองเทคลงแล้วตัดต่อแบบปกติอาจจะได้ซีนแอ็กชันที่ดีกว่าก็เป็นได้ อันนี้ส่วนตัวรู้สึกชอบลองเทคในภาคแรกที่ดิบและดูจริงมากกว่าในภาคนี้ที่ประดิดประดอยมากไปหลายฉากจนดูไม่จริง และหากตัดฉากโชว์ไป ส่วนตัวมีหลายฉากแอ็กชันที่ทำได้น่าสนใจแต่อาจถูกนำเสนอสั้นไปสักหน่อยอย่างฉากต่อสู้ในห้องออกกำลังกาย ฉากบนพื้นกระจกของตึกระฟ้า เป็นต้น
สำหรับภาคนี้ก็คงพูดได้ว่าเป็นหนังที่ดูเพลินสนุกระทึกใจแบบยาว ๆ ลื่น ๆ ตื่นตาได้เยี่ยมอย่างเคย แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความธรรมดาหลายอย่างที่สอดแทรกมาทำลายภาพรวมของหนังให้ไปไม่สุดความสนุกสุดยอดอย่างที่ควรเป็น อย่างไรก็ตามหากมองว่ามันเป็นหนังที่ปูพื้นเพื่อสร้างจักรวาลของตัวเอง ก็ต้องถือว่าทั้งในส่วนบทและการคิดความหมายของฉากแอ็กชันแต่ละฉากนั้น ทำได้น่าสนใจและพอเห็นอนาคตที่สดใสของแฟรนไชส์นี้ได้อยู่ไม่น้อย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส