[รีวิว] Society of the Snow: เครื่องบินตกเป็น-ตาย แม้เปลี่ยนมุมเล่า ยังคงเศร้า เปี่ยมหวัง ทรงพลัง
Our score
7.5

Release Date

04/01/2024

ความยาว

145 นาที

ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ เจ.เอ. บาโยนา

The Lord of the Rings: The Rings of Power (2022) Jurassic World: Fallen Kingdom (2018) A Monster Calls (2016) The Impossible (2012)

[รีวิว] Society of the Snow: เครื่องบินตกเป็น-ตาย แม้เปลี่ยนมุมเล่า ยังคงเศร้า เปี่ยมหวัง ทรงพลัง
Our score
7.5

Society of the Snow

จุดเด่น

  1. สร้างจากเหตุการณ์จริงที่ครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเล่าผ่านสื่อใดก็ดึงดูดใจง่าย การใช้นักแสดงไม่คุ้นหน้าบวกกับงานภาพที่จริงจังทำให้หนังสมจริงมาก ๆ และยังมีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ

จุดสังเกต

  1. มีหลายรายละเอียดที่ไม่นำมาใช้ ซึ่งน่าเสียดาย เพราะทำให้หลายฉากเนื้อหายังดูทื่อไปบ้าง
  • บท

    6.5

  • โปรดักชัน

    7.5

  • การแสดง

    8.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    7.5

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    7.5

เรื่องย่อ: ทริปแข่งขันของกลุ่มนักกีฬารักบี้ระดับมหาวิทยาลัยอุรุกวัยกลายเป็นฝันร้าย เมื่อเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินที่พวกเขาใช้เดินทางตกบนยอดเขาแอนดีสที่หนาวยะเยือก ท่ามกลางการสูญเสียเพื่อนพ้องครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่พร้อมจะบั่นทอนพลังในการมีชีวิตรอด พวกเขาได้ก่อกำเนิดเรื่องราวสุดแสนจะเหลือเชื่อให้แก่โลกใบนี้

ดูเหมือนผู้กำกับ ฮวน อันโตนิโอ บาโยนา (Juan Antonio Bayona) จะกลับมาทำอะไรที่เข้าฝักเข้ามือในทางดราม่าอีกครั้ง หลังจากไปลองงานแอ็กชันบล็อกบัสเตอร์อย่าง ‘Jurassic World: Fallen Kingdom’ (2018) และซีรีส์ ‘The Lord of the Rings: The Rings of Power’ (2022) มาแล้ว ซึ่งถึงจะไม่แย่แต่ก็ไม่ได้น่าจดจำนัก เมื่อเทียบกับการยอมรับในผลงานเก่าที่ผสมสเปเชียลเอฟเฟกต์กับทางเน้นดราม่าได้อิ่มอารมณ์ทั้งภัยซึนามิใน ‘The Impossible’ (2012) หรือสัตว์ประหลาดในจิตใจอย่าง ‘A Monster Calls’ (2016)

เรื่องราวของนักกีฬารักบี้มหาวิทยาลัยที่เผชิญโศกนาฏกรรมซึ่งเกิดขึ้นจริงในอดีตเมื่อปี 1972 นั้นสร้างข้อถกเถียงและสร้างแรงบันดาลใจไปทั่วโลก เรื่องราวถูกบอกเล่ามาหลายครั้งทั้งในรูปแบบข่าว สารคดี หนังสือ และสื่อภาพยนตร์ ครั้งที่น่าจดจำมากสุดคือการดัดแปลงจากหนังสือเรื่อง ‘Alive: The Story of the Andes Survivors’ (1974) มาเป็นหนังฮอลลีวูดเรื่อง ‘Alive’ (1993) กำกับโดย แฟรงก์ มาแชล (Frank Marshall) และนำแสดงโดย อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ในบทนันโด ผู้รอดชีวิตที่มีบทบาทในเรื่องราวมากที่สุด ทั้งรอดจากการบาดเจ็บสาหัส สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และไม่ยอมหมดศรัทธาต่อชีวิตจนพบแสงสว่าง ซึ่งไม่ว่าใครได้รู้เรื่องราวสายการบินอุรุกวัยไฟลต์ 571 กับทีมรักบี้ก็คงมองไม่ต่างกันว่า นันโดคือตัวเอก คือแบบฉบับวีรบุรุษในเรื่องเล่าตำนานต่าง ๆ

แต่สำหรับผู้กำกับบาโยนา เขาเลือกที่เล่าเรื่องราวผ่านสายตาของหนึ่งในทีมรักบี้นาม นูมา นักศึกษากฎหมายผู้สะพายกล้องติดตัวและเฝ้ามองทุกอย่างรอบตัวที่เกิดขึ้น ด้วยสายตาที่ตั้งคำถามมากมาย ทั้งเสียงภาวนาของนักบินที่กำลังจะตายซึ่งไม่มีใครใคร่ได้ยิน การถกเถียงเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม ความเชื่อ กฎหมาย และสามัญสำนึกในฐานะบุคคล ว่าพวกเขาควรทานเนื้อของเพื่อนที่เสียชีวิตแล้วเพื่อต่อชีวิตผู้ที่ยังรอดหรือไม่ รวมถึงช่วงเวลาที่สิ้นหวังในยามเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหลายคนยอมแพ้ แต่นูมาตะกุยหิมะแข็งหนาเพื่อพบท้องฟ้าวันใหม่

Society of the Snow

ความน่าสนใจคือ นูมา ไม่ใช่ผู้รอดชีวิตของเรื่องราว แต่เขาก็สู้เพื่อมีชีวิตรอดจนถึงที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มผู้เสียชีวิตที่อยู่มานานมากที่สุดถึง 60 วัน เราถึงได้เห็นว่าเป็นความตั้งใจของบาโยนาที่เลือกเล่าผ่านสายตานูมา เพื่อให้เราได้สำรวจการต่อสู้ในใจ ความนึกคิดของผู้ที่ปีนป่ายต่อหน้าความตายจนถึงวาระสุดท้ายที่ต้องเผชิญกับการยอมรับในที่สุดว่าเขาไม่ใช่ฮีโรในเรื่องเล่านี้ ทว่ามันก็ตกตะกอนความหมายของบางอย่างเมื่อจดหมายสุดท้ายที่นูมาสั่งเสียได้บอกว่าเขาได้บรรลุสิ่งใดเข้าแล้ว

ซึ่งผู้ชมจะตระหนักว่าเมื่อเพื่อนผู้เดินทางร่วมกับผู้ชมในฐานะสายตาแทนได้หยุดบทบาทนั้น หนังความยาวกว่า 2 ชั่วโมง 25 นาที มันก็ดำเนินมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้นเอง และแม้เรื่องราวยังดำเนินต่อไปเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของผู้ที่ยังสู้เอาชีวิตรอดที่เหลือ โดยหันไปจับที่นันโดมากขึ้น แต่นูมาก็เป็นวิญญาณผู้จับจ้อง ถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องราวหนหลังจากชีวิตของเขาต่อไปได้ เป็นศิลปะการเล่าที่น่าสนใจ

เพราะมันได้แสดงบทคำนึง รำลึกและมองผู้มีชีวิตอยู่อย่างอ่อนโยนว่า เพื่อนผู้จากไปเช่นนูมานั้นไม่ได้มีความค้างคาขุ่นเคืองใดเลย มีแต่ความห่วงใยและเฝ้ามองอย่างปรารถนาดีต่อพวกเขาอยู่เสมอ มันทำให้เรื่องราวของทีมรักบี้แห่งเทือกเขาแอนดีสเรื่องนี้จึงมีรสและกลิ่นที่แตกต่างจากเรื่องราวอื่น ๆ ที่อิงมุมมองผู้รอด ขณะที่เรื่องนี้อิงมุมมองผู้ตาย ที่เชื่อว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่ต่างไปต่อเพื่อนที่ยังเหลือ เป็นรสชาติดราม่าที่ซึ้งเศร้าและหลายครั้งต่อยขั้วหัวใจเราหนัก ๆ อย่างที่หวังว่างานของบาโยนาจะมอบให้เราได้

ในด้านงานโปรดักชันต้องยอมรับว่าการเอานักแเสดงที่เราไม่คุ้นหน้ามาส่งภาษาไม่คุ้นหู มันทำให้หนังดูน่าเชื่อมากกว่างานของฮอลลีวูดที่ใช้บริการดาราคนดัง ทั้งยังแอบเอาผู้รอดชีวิตจริงในเวลานั้นอย่างคาร์ลิโตส ปาเอซ มาเล่นเป็นพ่อของตัวเองในเวลานั้นที่เป็นคนแจ้งรายชื่อผู้รอดชีวิตทีละคนผ่านทางโทรศัพท์ มันก็เพิ่มคุณค่าของหนังไปไม่รู้เท่าไหร่

ซ้ำเมื่อเทคนิคการนำเสนอภัยพิบัตินั้นทั้งจริงจังโหดร้าย ไม่ประนีประนอมผู้ชม อันจะเห็นได้จากฉากเครื่องบินตกที่โชว์ภาพอวัยวะของร่างกายคนหักผิดรูป ถูกกระแทก บาดแผลฟกช้ำอย่างที่ควรมี มันใช้ทั้งสเปเชียลเอฟเฟกต์ เมกอัป ซีจี และทุกองค์ประกอบได้ราวกับเราอยู่ตรงนั้น ในวันที่ 13 ตุลาคม 1972 กับพวกเขาจริง ๆ มันก็ทำให้การเลือกบาโยนาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้มันลงตัวแบบใช่มากจริง ๆ

Society of the Snow

ส่วนที่ยังจะมองว่าน่าเสียดาย และจะว่าเป็นข้อด้อยนั้นก็มี ไม่ใช่ว่าสมบูรณ์แบบ เพราะงานที่แผลงขนาดเล่าด้วยน้ำเสียงคนตายขนาดนี้ กลับไม่ขยี้หลายอย่างที่เป็นเกร็ดของเรื่องราวซึ่งถูกบอกเล่าไว้แล้วเข้าไป ที่คงทำให้หนังเรื่องนี้ยิ่งตราตรึงงดงามเข้าไปอีก เช่น เรื่องผู้ช่วยนักบินที่กำลังจะตายขอร้องให้เอาปืนยิงเขาเพื่อไม่ให้เขาต้องเจ็บปวดอีก

หรือเรื่องที่เมื่อเพื่อนคนหนึ่งได้ยินวิทยุประกาศการยุติค้นหาพวกเขา เขาครุ่นคิดก่อนจะกลับมาบอกเพื่อน ๆ ว่ามีเรื่องดีและเรื่องร้าย เรื่องร้ายคือเจ้าหน้าที่จะรอหิมะละลายถึงจะมาหาพวกเขา เรื่องดีคือพระเจ้าส่งสัญญาณมาแล้วว่าอย่าลังเลอีก พวกเขาต้องเดินลงไปขอความช่วยเหลือด้วยตนเอง, นันโดตั้งปณิธานว่าเขาจะต้องรอดกลับไปหาพ่อ หลังจากที่แม่และน้องสาวของเขาตาย ไม่ใช่เพราะเขาอยากเจอพ่อ แต่เพราะเขาสงสารหากพ่อที่สูญเสียภรรยาและลูกสาวไปแล้ว ยังจะต้องเสียลูกชายไปอีกคน

อะไรแบบนี้มันมีความแพรวพราวและสวยงามในการเล่าอยู่มาก ไม่นับเรื่องรายละเอียดการเอาชีวิตรอดที่เป็นประโยชน์หลายอย่างเช่นว่าทำไมพวกเขาต้องสวมแว่นกันแดด ที่ไม่ใช่เพราะเท่ แต่ถึงไม่มีแว่นพวกเขาก็ต้องไปเอากระจกเครื่องบินที่มีฟิล์มกันแดดมาทำบังตา เพราะหิมะบนเขาจะสะท้อนจ้าทุกทางใส่ตลอดจนพวกเขาตาบอดแดดได้หากมองด้วยตาเปล่าเป็นเวลานาน เป็นต้น

ก็นับว่าเรื่องจริงสุดสะเทือนใจนี้คงมีรายละเอียดอีกมากให้กอบโกย และบาโยนาก็คงคิดว่าสิ่งที่เขาสลักส่วนเกินของแท่งน้ำแข็งจนได้หนังเรื่องนี้จะพอดีกับความต้องการของเขาแล้ว แต่สำหรับเราก็อดเสียดายบางอย่างที่มันถูกหักออกไปไม่น้อยเช่นกัน เพราะล้วนเป็นอาวุธเพิ่มคมเขี้ยวให้ ‘Society of the Snow’ ได้เข้าไปฟาดฟันคู่แข่งชิงชัยออสการ์สาขาภาษาต่างประเทศในฐานะตัวแทนจากประเทศสเปนได้สมน้ำสมเนื้อขึ้น ใครเชียร์อยู่ก็ต้องจับตาเดือนมีนาคมนี้ว่าจะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ เอาใจช่วยครับ

Society of the Snow

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส