สำหรับ Skiptrace (คู่ใหญ่สั่งมาฟัด) เป็นการโคจรมาพบกันของแจ็คกี้ ชาน กับ จอห์นนี น็อกซ์วิลล์ ที่คอหนังหลายคนเคยผ่านผลงานและจดจำเขาจากงานแนวบู๊แอ๊คชันคอเมดี้อย่าง Jackass  รวมทั้ง The Last Stand (2013) มาแล้ว ซึ่งการประกบคู่ดูโอครั้งนี้ ส่วนตัวสนใจว่าความฮาแบบเกรียนๆ ของ จอห์นนี จะเคมีเข้ากับเฉินหลงได้ดีแค่ไหน ยิ่งได้ผู้กำกับ เรนนี ฮาร์ลิน (Die Hard 2, Deep Blue Sea) ผู้กำกับรุ่นใหญ่สายระห่ำมาลุยโปรเจ็กต์นี้ด้วยแล้ว ทำให้ตัวหนังน่าสนใจขี้นมาไม่น้อย

jackie-chan-johnny-knoxville-skiptrace-0

Skiptrace เป็นเรื่องราวของ เบนนี ชาน (แจ็คกี้ ชาน) สายลับฮ่องกงที่กำลังไล่ล่า วิคเตอร์ หว่อง หัวหน้าแก๊งมาเฟียมากว่าสิบปี จนกระทั่งหลานสาวของเขา ซาแมนธา (ฟ่าน ปิง ปิง) เผลอเข้าไปพัวพันกับแก๊งมาเฟียดังกล่าว ในขณะที่หนุ่มนักพนันชาวอเมริกัน คอนเนอร์ วัตส์ (จอห์นนี่ น็อกซ์วิลล์) ซึ่งเข้ามามาเก๊าหวังแสวงโชค แต่ดันไปเห็นการฆาตกรรมและกุมหลักฐานบางอย่างที่สามารถใช้มัดตัวกับหว่องได้ เลยถูกแก๊งมาเฟียจับตัวไปที่รัสเซีย ทำให้เบนนี ต้องตามไปช่วยคอนเนอร์เพื่อหวังให้เป็นพยานในการเข้าถึงตัววิคเตอร์ หว่อง รวมทั้งช่วยเหลือซาแมนธา ให้หลุดออกมาจากองค์กรนี้ให้ได้

28448745575_b06d0cc29a_z

สารหลักๆ ของ Skiptrace อยู่ที่การตามล่าเพื่อจบภารกิจและช่วยเหลือตัวประกัน ซึ่งการเดินเรื่องรวดเร็วฉับไวตามสไตล์หนังเฉินหลง ที่เน้นขายงานแอ็คชันเป็นแกนอยู่แล้ว เส้นเรื่องที่เราคุ้นเคยแตะกลิ่นสูตรสำเร็จตามแบบแผนของหนังฮ่องกงที่มักมีเมสเซจสีเทาๆ ต่อบุคคลในเครื่องแบบ การเล่าเรื่องผ่านมุมมองระหว่าง คนดี (ตำรวจ) และ คนไม่ดี (ผู้ร้าย-โจร) ซึ่งมักจะเดินทางและจบด้วยความรู้สึกนัยๆ ในเชิงลบต่อ ‘ตำรวจ’ อยู่เสมอๆ มาหลายทศวรรษแล้วก็ว่าได้ เรียกว่าจับมือใครดมมันก็วนเวียนอยู่แถวๆ นี้แหละ (ฮา) แถมปรุงรสด้วยเสน่ห์ของ ฟ่าน ปิง ปิง ในบทบาทของ ซาแมนธา ที่น่าเสียดายที่ตัวหนังให้น้ำหนักตัวละครนี้น้อยไปนิด โดยเลือกไม่หยิบดึงเนื้อหาที่จะเล่าผ่านมุมมองของเธอเพื่อตัดหนังให้กระชับนั่นเอง

อีกหนึ่งประเด็นหลักของหนังบู๊แอ๊คชันของเฉินหลงเลยคือ performance ระหว่างคู่หู ซึ่งในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาการขายความเป็น ‘คู่หู’ นั้นถือว่าเป็นแนวทางที่เราพบเจอในหนังของเฉินหลงเป็นประจำ โดยเฉพาะคู่หูสายฮา ไม่ว่าจะเป็น Rush Hour, The Tuxedo รวมทั้ง Shanghai Noon ที่ส่วนตัวคิดว่า Skiptrace มีองค์ประกอบและแนวทางคล้ายคลึงกับเรื่องนี้มากเลยทีเดียว ทีนี้ ฟอร์มของ เบนนี และ คอนเนอร์ จะเป็นส่วนที่นำพาหนังเรื่องนี้ออกทะเลหรือกลับฝั่ง ซึ่งต้องบอกว่าโจทย์นี้ไม่ยาก เมื่อมองจากแนวทางของหนังที่เป็นหนังประเภท ‘ทำเงิน’ ในบ็อกซ์ออฟฟิศอยู่แล้ว โดยแม้ช่วงแรกจะมีบางซีนที่สะท้อนให้เห็นจังหวะรับส่งมุกที่ยังดูติดขัดไม่ไหลลื่นบ้าง แต่พอหนังเริ่มออกเดินอย่างจริงจัง คนดูก็ค่อยๆ รักคู่หูสุดเกรียนคู่นี้ได้อย่างง่ายดาย ที่จริงต้องบอกว่าเพราะความเป็นเฉินหลง (และอาจจะรวมถึงอรรถรสจากทีมพากย์พันธมิตร) ทำให้คนดูพอจะให้อภัยมองข้ามกับไม่สมเหตุสมผลหลายๆ จุดของหนังไปได้

SkipTrace-jackiechan-johnnyknoxville

หากเปรียบเปรยง่ายๆ เฉินหลงก็เหมือนเมสซี สามารถเลี้ยงบอลดึงความสนใจของกองหลังมาได้หลายคน คนดูหนังโฟกัสที่เขาก่อนเสมอ เป็นนักแสดงระดับไอคอน ระดับแม่เหล็ก เล่นจริงเจ็บจริงเหมือนทุกครั้งแม้ในวัย 62 ปี ต่อให้เพื่อนร่วมทีมจะไม่โดดเด่น พล็อตเรื่องจะบางเบาเหมือนปุยนุ่น แต่เขาก็จะพาหนังของเขาขับเคลื่อนเลี้ยงฝ่าไปข้างหน้าเองได้ ประสบการณ์และความครบเครื่องในแคแร็คเตอร์ ที่ผู้กำกับหลายท่านมักนิยามนักแสดงระดับนี้ว่า มีความกลมกล่อมและมีศักยภาพสูงมากพอที่จะให้เล่นเป็นตัวละครไหนก็ได้ สีหน้าแววตาจากฉากแอ็คชันทะเล้นๆ หรือจะกลั่นอารมณ์ในฉากดราม่าที่เขา ‘เอาอยู่’ ยังไงก็การันตีเรื่องเรตติ้งและค่ายหนังมั่นใจว่า ‘ทำเงิน’ แค่นี้ก็วิน-วิน

คนดูแฮ็ปปี้กับ 2 ชั่วโมงที่เสียไป ตัวหนังก็มีกำไร แถมปรากฏตัวในช่วงวันหยุดยาวอีก เป็นหนังอีกเรื่องที่เหมาะจะพาคุณแม่และครอบครัวไปผ่อนคลายครับ

Skiptrace เข้าฉายจริง 11 สิงหาคมนี้

Play video

ที่มา : pmcvariety / hypebeast / tiffanyyong