แม้ว่า Star Wars จะเป็นแฟรนไชส์ทรงคุณค่าของดิสนีย์ ทำเงินอย่างมหาศาลได้ต่อเนื่อง และทุกครั้งที่ประกาศสร้างไตรภาคใหม่ ๆ ทางผู้สร้างก็มักจะออดิชันนักแสดงหน้าใหม่มารับบทนำอยู่เสมอ แล้วเขาและเธอก็จะเป็นที่สนใจของสื่อตลอดช่วงเวลาที่รับบทนำ แต่แปลกไหมครับ ในขณะที่หนัง Star Wars เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จทุกภาค (ไม่นับภาคแยก) นักแสดงนำโด่งดังมีชื่อเสียง แต่หลังจากนั้นแล้ว พวกเขาหรือเธอก็แทบจะหายไปจากวงการเลยก็ว่าได้
นับมาตั้งแต่ มาร์ก แฮมิลล์ (Mark Hamill) ผู้รับบท ลุค สกายวอล์กเกอร์ ในไตรภาคแรก พอจบงานใน Satr Wars เขาก็ไม่ได้รับบทนำในหนังเรื่องใดเลย แต่กลับกัน พระรองอย่าง แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) กลับเป็นพระเอกเบอร์ต้น ๆ ของฮอลลีวูด ตราบจนทุกวันนี้ ส่วนแฮมิลล์ก็จับพลัดจับผลูไปได้ดีกับงานพากย์แทน เขากลายเป็นนักพากย์ที่มีงานชุก มีผลงานมาแล้วกว่า 300 ชิ้น ทั้งพากย์การ์ตูน และ วิดีโอเกม เสียงที่เขาผูกขาดตลอดเลยก็คือ Joker และล่าสุดก็ได้พากย์เป็น Chucky ตุ๊กตานักฆ่าชื่อดัง
รายต่อมาก็คือ เฮย์เดน คริสเตนเซน (Hayden Christensen) ผู้รับบท อนาคิน สกายวอล์กเกอร์ ในไตรภาคที่ 2 ก็เป็นผู้ต้องคำสาป Star Wars มาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่โชคดีอย่าง มาร์ก แฮมิลล์ ด้วย เพราะหลังจบงาน Star Wars แล้ว เขาก็แทบหายไปจากวงการเลย มีงานแสดงน้อยมาก สองสามปีจะมีสักเรื่อง แล้วก็เป็นหนังฟอร์มเล็ก และได้บทสมทบมาโดยตลอด แต่หลังจากที่ดิสนีย์เริ่มโครงการสร้าง Star Wars เป็นซีรีส์เรื่องย่อยปล่อยสตรีมมิงทาง Disney+ คริสเตนเซนก็เลยได้กลับสู่จักรวาลสตาร์วอร์สอีกครั้ง มีทั้งบทรับเชิญ และงานพากย์เสียง
แล้วในที่สุด เดซี ริดลีย์ (Daisy Ridley) ผู้รับบท เรย์ ในไตรภาคล่าสุดก็ต้องรับคำสาปสตาร์วอร์สมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอคาดหวังไว้ว่า ในวันที่เธอได้รับบทเรย์นั้น เสมือนเป็นใบเบิกทางอย่างดีสำหรับเธอในฮอลลีวูด เมื่อเธอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแล้ว บรรดาผู้สร้างต่าง ๆ ก็น่าจะอ้าแขนต้อนรับ มีงานให้เธอเลือกได้อย่างต่อเนื่อง แต่ผลกลับกลายเป็นตรงกันข้าม แถมยังซวยหนักกว่า 2 รายก่อนหน้าด้วย เพราะว่า The Rise the Skywalker หนังปิดไตรภาคของเธอออกฉายในเดือนธันวาคมปี 2019 หลังหนังเข้าโรงได้ไม่นาน โลกมนุษย์ก็เจอกับวิกฤตการณ์ โควิด-19 แพร่ระบาด และกระทบวงการภาพยนตร์อย่างหนัก กองถ่ายทุกกองถูกยกเลิกการถ่ายทำ
เดซี ริดลีย์ ย้อนเล่าความรู้สึกของเธอให้กับ Entertainment Weekly ฟังว่า
“มันประหลาดมาก พอเข้าปีใหม่แล้วก็ยังไม่เห็นมีงานอะไรเข้ามาเลย ฉันก็รู้สึกแบบว่า อ้าว! ไม่มีใครอยากจ้างฉันไปเล่นหนังเลยเหรอ”
ซึ่งเธอก็ไม่ย่อท้อรอโชคชะตาวิ่งเข้ามาหา ริดลีย์ตระเวนไปออดิชันบทต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ไม่ได้สักงาน
“ช่วงเวลานั้นฉันรู้สึกแบบว่า โอ้ พระเจ้า แล้วฉันก็คิดกับตัวเองว่า อะไร้มันจะประจวบเหมาะกันได้ขนาดนี้เนี่ย”
ในที่สุดเธอก็ได้ร่วมงานในโปรเจกต์ใหญ่อย่าง Chaos Walking หนังไซไฟที่มีองค์ประกอบของหนังบล็อกบัสเตอร์เพียบพร้อม ทั้งการเป็นหนังที่มีต้นฉบับจากนิยายขายดี ได้ประกบกับพระเอกเบอร์หนึ่งแห่งยุคอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) ได้ ดั๊ก ไลแมน (Doug Liman) ผู้กำกับที่มีผลแต่ผลงานฮิต ๆ มารับหน้าที่ แต่แล้วหนังก็ออกฉายในช่วงที่โควิดยังไม่คลี่คลาย บวกกับหนังได้รับเสียงวิจารณ์ย่ำแย่ แล้วก็เจ๊งเละเทะในที่สุด หนังทำเงินทั่วโลกไปได้แค่ 26 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 125 ล้านเหรียญ ยังไม่รวมงบประชาสัมพันธ์ ดูไปก็น่าสงสารริดลีย์ครับ ที่ต้องเจอกับโชคชะตาพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำอีก โอกาสที่เป็นเหมือนแสงสว่าง กลับกลายเป็นตะปูตอกฝาโลงไปเสียนี่
แต่ก็นับว่ายังมีข่าวดีอยู่บ้างครับ หลังโควิดคลี่คลายแล้ว ริดลีย์ก็พอจะมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานพากย์วิดีโอเกม แอนิเมชัน และงานแสดงแม้จะเป็นหนังฟอร์มเล็กก็ตาม ปีหน้าเธอจะมีผลงานแสดงและงานพากย์ออกมาถึง 6 เรื่อง ใครรักเธอก็คอยติดตามสนับสนุนผลงานเธอกันนะครับ วันนี้ เดซี ริดลีย์ อายุ 30 ปีเต็มล่ะ หนทางข้างหน้ายังอีกไกลครับ ไม่แน่อาจจะมีงานพากย์ชุกเหมือน มาร์ก แฮมิลล์ ก็เป็นไได้