The Age of Shadows หรือ คน ล่า ฅน ของผู้กำกับ คิมจีวุน เป็นภาพยนตร์ตัวแทนเข้าชิงออสการ์จากประเทศเกาหลีใต้ประจำปีนี้ เรียกว่าเฉือนชนะตัวเก็งอีกเรื่องอย่าง The Handmaiden ของ ปาร์กชานวุก ไปอย่างหวุดหวิดทีเดียว เพราะทั้งสองเรื่องต่างมาจากผู้กำกับที่มีผลงานระดับโลก และปีนี้ก็สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทรงคุณค่าในระดับเดียวกันทีเดียว ที่สำคัญธีมของเรื่องยังออกจะใกล้เคียงกันโดยยกช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเข้าปกครองเกาหลีมาเป็นฉากหลังด้วย แต่ทว่าเมื่อคำนึงถึงความอินของกรรมการในความเป็นชาตินิยมเกาหลี หรือในแง่ความบันเทิงเข้าถึงง่ายแล้ว The Age of Shadows ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ฉลาดกว่าในเวทีสายบันเทิงไม่ได้อาร์ตจ๋าแบบออสการ์นี้เช่นกันครับ
หนังเล่าเรื่องของการต่อสู้กอบกู้เอกราชเกาหลีจากการปกครองของญี่ปุ่นในช่วงปี 1920 ของฝ่ายต่อต้านที่เป็นหน่วยงานก่อการร้ายใต้ดิน ที่มีหัวหน้าสุดแสนลึกลับชื่อว่า ชีซาน (ลีบยองฮุน คนนี้คุ้นหน้าในหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง ที่เด่นๆก็เป็น T-1000ในคนเหล็กเจเนซิสเมื่อปี 2015 นั่นล่ะครับ) และมีมือขวาเป็นฝ่ายปฏิบัติการในกรุงโซลและเซี่ยงไฮ้โดยอาศัยร้านถ่ายรูปและค้าของเก่าบังหน้าในการปฏิบัติการนามว่า คิมวูจิน (กงยู ที่ปีนี้มีผลงานคุ้นหน้าในหนังซอมบี้รถไฟอย่าง Train to Busan) ส่วนด้านฝั่งทหารญี่ปุ่นที่เป็นตัวร้ายในเรื่องก็มีจอมแผนการอย่าง ผู้บัญชาการฮิกาชิ (ทซึรุมิ ชินโง) และ ฮาชิโมโตะ (ออมแทกู) นายตำรวจสายปราบปรามที่แม้จะเป็นหน้าใหม่แต่ก็อาศัยความโหดเหี้ยมจนฝั่งต่อต้านต้องขวัญผวา ซึ่งทั้งสองฝั่งก็มีเพื่อนพ้องและลูกสมุนอีกมากมาย และแน่นอนตามสไตล์หนังแนวจารชนย่อมมีสายลับหรือคนทรยศแฝงตัวอยู่ในทั้งสองฝั่งนี้เช่นกัน ซึ่งทำให้การค่อยๆชมและคิดหาคนที่เป็นสายลับไปพร้อมๆกับหนังเป็นอีกสีสันหนึ่งของหนังทีเดียว
แม้ตัวละครในเรื่องจะหลายฝั่งหลากบทบาทมากมายเหลือเกิน แต่ผู้ชมก็ยังสามารถติดตามเรื่องราวได้ไม่ยาก เพราะแท้จริงแล้วหนังมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวละครผู้บัญชาการตำรวจญี่ปุ่นเชื้อสายเกาหลีนาม ลีจุงโชล (ซองคังโฮ ใครติดตามหนังเกาหลีคุ้นหน้าเขาแน่นอนครับเล่นเยอะมากๆ ล่าสุดก็ Snowpiercer) ซึ่งจะว่าไปตัวละครนี้คือตัวเอกและเป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้ให้แตกต่างจากหนังแนวเดียวกันเลยล่ะครับ เพราะลีจุงโชลจริงแล้วเขาเคยทำงานเป็นล่ามช่วยเหลือฝ่ายต่อต้านในเซี่ยงไฮ้มาก่อน แต่ด้วยความสามารถและยุคสมัยที่ญี่ปุ่นเป็นใหญ่เขาจึงหันมาทำงานให้ทหารญี่ปุ่นจนก้าวหน้าขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจ และอาศัยความสามารถด้านภาษาเน้นการเจรจาเพื่อไม่ต้องใช้ความรุนแรง
เป็นการสร้างตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์ปุถุชนท่ามกลางความขัดแย้งระดับชาติได้น่าสนใจมาก เพราะแม้เขาจะเป็นคนเกาหลีแต่ก็ทำงานให้ญี่ปุ่น แม้เขาจะมีหน้าที่ไล่ล่าและปราบปรามแต่ก็รังเกียจความรุนแรง และแม้ว่าเขาจะรักชาติและเพื่อนร่วมชาติแต่เขาก็ต้องเลือกอาชีพที่ดูแลครอบครัวของตนเองได้ ด้วยความขัดแย้งมากมายในตัวเขานี้เองที่เป็นตัวผลักดันเรื่องขยับไปข้างหน้าอย่างน่าสนใจ ในช่วงหนึ่งเขาภักดีทุ่มเทให้กับญี่ปุ่นที่ให้บ้านให้อาหารให้เงินเดือน ในอีกช่วงหนึ่งเขาก็สงสารฝ่ายต่อต้านและให้การช่วยเหลืออย่างลับๆด้วยผลประโยชน์ที่ต่างไป ท่าทีที่ไม่แน่นอนเดาไม่ได้ของเขานี้เอง ซึ่งอิงกับความต้องการพื้นฐานธรรมดาของคนเราทำให้เราทั้งลุ้นและเข้าใจในตัวละครนี้อย่างดี ทำให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วย ระหว่างบรรทัด ที่เราต้องอ่านความคิดตัวละครผ่านสายตาและการแสดงออกทั้งเปิดเผยและเสแสร้งต่างๆ เพราะทุกคนต่างพยายามล่อหลอกใช้อีกฝั่งอย่างแยบยลพอกัน ไม่ว่าจะฝั่งไหนฝ่ายไหนหรือแม้แต่ในพรรคพวกเดียวกันเอง อันเป็นเสน่ห์ของหนังแนวจารชนธริลเลอร์แบบนี้เลยล่ะครับ
ซึ่งตรงนี้เป็นการตีความคำว่าเงาได้ฉลาดมากๆ เราเหมือนดูเงาของตัวละครเล่นท่าทางต่างๆตลอดทั้งเรื่อง โดยไม่รู้แน่ชัดว่าแต่ละคนอยู่ฝ่ายไหน แม้หนังจะชอบถ่ายโคลสใบหน้าพวกเขาแต่เราก็ไม่รู้เลยว่าจริงๆพวกเขาคิดอะไร ท่าทีที่เห็นใสซื่อจริงแล้วเสแสร้งหรือเป็นจริง ทุกคนพร้อมเปลี่ยนฝั่งพลิกบทบาทได้เสมอ โดยเฉพาะลีจุงโชล นี่คือเสน่ห์สำคัญในการที่เราหลงรักหนังเรื่องนี้เลยครับ
สิ่งที่ต้องชื่นชมนอกจากตัวละครที่ซับซ้อน และการแสดงอันคมคายของแต่ละตัวละครแล้ว งานศิลป์ของหนังทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ฉากศิลป์ รวมถึงการจัดแสงและถ่ายภาพ ต้องยอมรับในความงดงามแบบต้องกราบจริงๆ ทั้งยังช่วยส่งเสริมสไตล์ฟิล์มนัวร์ที่เน้นแสง-เงาจัดจ้าน แสดงถึงความดำมืดและความลึกลับของจิตใจคนได้อย่างเคร่งขรึม เข้ากับชื่อหนังและธีมเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องของเงา ความมืด ความจริงความลวงได้อย่างแยบยลทีเดียวครับ
ข้อเสียของหนัง คือ มีฉากแอ๊กชั่นแบบเดือดๆน้อยครับ แต่ก็ทดแทนด้วยความเข้มข้นของการเชือดเฉือนกันด้วยบทบาทและบทสนทนาที่บางช่วงตึงเครียดและมันกว่าดูแอ๊กชั่นเสียอีก ซึ่งการสร้างอารมณ์ระทึกด้วยองค์ประกอบต่างๆแบบนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับอย่าง คิมจีวุน ทีเดียว เห็นได้จากผลงานเก่าๆอย่าง ตู้ซ่อนผี (2003) หรือ I Saw the Devil (2010) และแม้ว่าฉากแอ๊กชั่นจะไม่ได้หวือหวาแต่ก็เน้นๆและเจ๋งมากๆ ฉากที่น่าจะพีคสุดๆของเรื่องคือฉากเปิดตัวของหนัง และเนื้อเรื่องช่วงบนรถไฟในท้ายเรื่องที่ได้ครบทุกอารมณ์ที่สุดครับ ในฉากพวกนี้แม้จะเครียดๆอยู่ผู้กำกับก็ยังฉลาดที่จะใส่อารมณ์ขันเล็กๆมาผ่อนคลายผู้ชมแบบไม่เสียรสดราม่าธริลเลอร์ที่ปูมาด้วย ไม่แปลกเลยครับที่ คิมจีวุน จะเป็นผู้กำกับหนังเกาหลีที่ประสบความสำเร็จเป็นลำดับต้นๆในปัจจุบัน น่าเสียดายที่ผลงานโกอินเตอร์ของเขาดันกลายเป็นหนังแอ๊กชั่นที่ไม่ได้มีความจริงจังอย่าง Last Stand (2013) ที่มีอาร์โนลด์แสดงนำไปเสียได้
สรุป
หนังเหมาะกับคนที่ชอบดราม่าธริลเลอร์เข้มๆ ชวนระทึกด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคม แอ๊กชั่นไม่รัวแต่เน้นๆจัดหนัก ฉากเลือดสาดอวัยวะหลุดแบบโหดๆ ต้องจัดเลยครับ หรือจะไปดูโปรดักชั่นสวยๆเรื่องนี้ก็มีให้ชมทั้งเรื่องเลย หนังไม่เหมาะสำหรับเด็กหรือใครที่ไม่ชอบฉากรุนแรงล่ะครับ อ่อหนังค่อนข้างนานนะครับราวสองชั่วโมงกว่า เตรียมตัวเตรียมสติในการรับชมนิดหนึ่งเพราะตัวละครเยอะและเรื่องมีความซับซ้อนครับ