Hacksaw Ridge นับเป็นการกลับมากำกับหนังหลังจากหายไปร่วมสิบปีเต็มของผู้กำกับและนักแสดงนำรางวัลออสการ์ เมล กิ๊บสัน ที่เคยลือเลื่องจาก Braveheart (1995) เพราะหลังจากหนังเรื่องหลังสุด ที่เล่าเรื่องยุคก่อนประวัติศาสตร์ Apocalypto (2006) ซึ่งป๋าเล่นหนักมือไปหน่อยจนไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก ประกอบกับแกโดนวงการแบนไปจากกรณีเหยียดเชื้อชาติและทำร้ายร่างกาย ก็เรียกว่าหายหน้าไปแทบจะสิ้นเชิง ก็เพิ่งกลับมามีหนังเล่นบ้างก็ไม่กี่เรื่อง ส่วนงานกำกับเรียกว่าปิดประตูไปเลย การกลับมาครั้งนี้แถมด้วยการล่ารางวัลมาหลายเวที ทั้งยังมีชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 6 รางวัลด้วยแล้ว คงต้องจับตามองเรื่องนี้ให้ดีเลยทีเดียว
หนังเรื่องนี้ใช้เวลาพัฒนาโปรเจ็คต์ยาวนานถึง 14 ปี โดยเริ่มต้นมาจากความสนใจในบทความหนึ่งในนิตยสาร วาไรตี้ โดยเล่าเรื่องจริงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ เดสมอนด์ ที. ดอสส์ (แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) ผู้ได้รับเหรียญกล้าหาญจาก ประธานาธิบดีทรูแมน หลังสงครามสิ้นสุด ด้วยผลงานการเป็นทหารแนวหน้าเพียงหนึ่งเดียวในสมรภูมิที่ไม่ยอมถืออาวุธและเลือกช่วยเหลือเพื่อนทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
เมล กิ๊บสัน ประทับใจในเรื่องราวมากจนกระโดดเข้ามาร่วมในโปรเจ็คต์นี้ ด้วยเหตุผลว่า ผู้คนควรได้รับรู้เรื่องราวของฮีโร่ตัวจริงบนโลก ที่ไม่ต้องมีชุดรัดรูป (หนังซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย) เสียบ้าง หนังเลยเล่าประวัติและปูมปมในใจของเดสมอนด์ตั้งแต่เด็ก ในวัยเด็กเขาเคยเล่นหนักมือจนเกือบทำน้องชายตาย และเมื่อโตขึ้นความโกรธที่สะสมตัวต่อ ทอม ดอสส์ (ฮิวโก้ วีฟวิ่ง) พ่อที่มักจะเมาหัวราน้ำแล้วชอบทำร้ายแม่ ก็เกือบทำให้เขากลายเป็นฆาตกร
ความตระหนักในบาปอันยิ่งใหญ่ที่เคยเกือบฆ่าน้องชายและคิดจะฆ่าพ่อนี้เอง นั่นส่งผลให้หลังจากนั้นเขาปฏิเสธการจับปืนอย่างสิ้นเชิง จึงก่อให้เกิดปัญหากับทั้งเพื่อนทหาร ครูฝึกและหัวหน้าค่ายฝึกเมื่อเขาสมัครเข้ารับใช้ชาติ เขาต้องต่อสู้กับจิตสำนึกอย่างมากที่จะยืนกรานศรัทธาในพระเจ้า แม้ว่าจะต้องสุ่มเสี่ยงโดนไล่ออกจากค่ายทหารอย่างไร้เกียรติ หรือติดคุกทหารยาวนานจนสงครามจบเลยก็ตาม นั่นรวมถึงการที่เขาถูกยกเลิกวันพักผ่อนเพราะไม่ได้เข้าฝึกการยิงปืนไรเฟิล แม้ว่าวันนั้นเขากำลังเตรียมกลับบ้านไปแต่งงาน โดยมี โดโรธี (เทเราซ่า พาลเมอร์) คนรักที่กำลังใส่ชุดเจ้าสาวรออยู่กับแขกเหรื่อเต็มโบสถ์ก็ตาม
แม้จะฝ่าฟันปัญหาต่างๆ เพื่อพิสูจน์ตัวต่อคนอื่นอย่างยากเย็น จนได้ฝึกเป็นแพทย์สนามสำเร็จดังตั้งใจ แต่บทพิสูจน์ที่แท้จริงนั้นก็มาถึงเมื่อเขาถูกส่งไปร่วมรบที่สมรภูมิหน้าผาสูงชันที่ทำลายกองพันของสัมพันธมิตรมาแล้วมากมายในโอกินาวา จนถูกขนานนามว่า Hacksaw Ridge แม้ตัวเดสมอนด์เองจะไร้อาวุธ แต่เขาก็อยู่เฝ้าสมรภูมิทั้งที่หน่วยอื่นๆต่างถอนกำลังออกไปแล้ว เพื่อตามหาและลากเพื่อนทหารที่ได้รับบาดเจ็บออกมาจากสนามรบนั้น จนสามารถช่วยชีวิตทหารไว้ได้ถึง 75 คนทีเดียว (ในบันทึกจริงกล่าวอ้างจากพยานว่าน่าจะมีคนที่ถูกช่วยราวๆ 100 คน)
วีรกรรมของเดสมอนด์นั้นน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อมากๆ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของสงครามที่เดสมอนด์ถูกระเบิดจนบาดเจ็บสาหัส แต่ขณะที่เขาถูกหามออกมา เขากลับเลือกสละเปลสนามให้เพื่อนทหารที่บาดเจ็บ ส่วนตัวเขานั้นคลานกลับถึงกองทัพด้วยตนเอง มันยากจะเชื่อมากๆจน เมล เองยังไม่กล้าใส่เหตุการณ์ตามบทบันทึกจริงๆลงในหนัง เพราะเขากลัวคนดูจะคิดว่าหนังทั้งเรื่องมันโม้ แต่เอาจริงๆทั้งหมดนั้นก็ได้รับการยืนยันจากพยานในสนามรบว่าเป็นเรื่องจริง เมล ยกย่องเดสมอนด์มากขนาดบอกว่าหากวันนี้เดสมอนด์ยังมีชีวิตอยู่ เดสมอนด์คือคนที่เขาอยากให้เป็นประธานาธิบดีมากที่สุดด้วย
หนังต้องใช้เวลาถ่ายทำถึง 59 วัน โดยเป็นฉากสงครามถึง 19 วันเต็มๆทีเดียว ในขณะที่เพื่อให้ฉากสงครามสมจริง เมล กิ๊บสัน ก็ถึงกับยอมควักกระเป๋าเพื่อซื้อกล้องถ่ายแบบแฮนด์เฮลด์ด้วยตนเองเลยด้วย สิ่งที่ตอบแทนมาจึงเป็นภาพการรบที่น่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์หนังสงครามโลกทีเดียว นี่น่าจะยืนยันได้ดีว่าเขาทุ่มตัวเทใจให้กับหนังเรื่องนี้แค่ไหน
ฉากสงครามนี่คือต้องห้ามพลาดเลยครับ มาสไตล์หนังของเมล กิ๊บสัน ที่เน้นเลือดเนื้อสมจริงมากๆ ใครไม่เตรียมใจมาดีๆเพราะคิดว่าต้นเรื่องมันยังดราม่าฟีลกู้ดเชื่อพระเจ้าศรัทธาความรักเพื่อนมนุษย์อยู่เลย ก็เตรียมช็อกกับฉากสงครามที่เปิดมาแบบศพเป็นศพ ตายเป็นตาย ร่างระเบิดตับไตไส้พุง กระสุนพุ่งทะลุหัวจนระเบิด คือแหวะมาก แต่ก็ทำให้สัมผัสความโหดร้ายและกดดันของสงคราม และสิ่งที่ตัวเอกเผชิญได้อย่างดี ทำให้รู้ว่าการที่พระเอกเลือกอยู่ท่ามกลางฝูงศัตรูเพื่อช่วยเพื่อนทหารนั้นมันคือสิ่งยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ถ้าถามว่าหนังทั้งเรื่องเล่าอะไร จริงๆมันเล่าอยู่เรื่องเดียวเลย ซึ่งแอบแฝงแบบไวๆมากๆในฉากหนึ่งที่ โดโรธี แฟนสาวได้มอบไบเบิ้ลให้ เดสมอนด์ ก่อนเขาเดินทางไปเข้าฝึกประจำการ โดยได้นำภาพตนเองคั่นเลขหน้าไว้ ซึ่งตรงนั้นถ้าสังเกตจะเป็นบทพระคัมภีร์เก่าที่ 1 Samuel 17 ที่ว่าด้วยเรื่องของ เดวิด และยักษ์โกไลแอธ ตรงนี้เป็นเรื่องที่เหมือนสะท้อนวีรกรรมของเดสมอนด์ว่าไม่ต่างจากผู้ที่พระเจ้าเลือกอย่างเดวิดเลย เพราะเดวิดก็หาญสู้กับโกไลแอธโดยไม่นำอาวุธติดตัวไปด้วยเช่นกัน โดยประกาศว่า พระเจ้าไม่ได้ช่วยเหลือเราด้วยดาบ หรือ หอก ในการต่อสู้ของพระเจ้านี้ พระองค์จะส่งเจ้าให้อยู่ในมือพวกเรา และนี่น่าจะเป็นสาระสำคัญที่หนังเฝ้าพูดถึงตลอดมา เรียกว่าได้ทั้งความสนุกทั้งแอ๊กชั่นทั้งลุ้นระทุก ซึ้งใจ แล้วยังได้ข้อคิดดีๆอีกด้วย สมค่าหนังรางวัลจริงๆ
สรุป
เมล กิ๊บสัน กลับมาได้อย่างสมการบ่มเวลารอคอยครับ คิดๆว่าหนังน่าจะมาแนวดราม่าศรัทธาในพระเจ้าเวิ่นเว้อน่าเบื่อ แต่ปรากฏว่าเปล่าเลยหนังเล่าเรื่องง่ายๆ ท่าไม่ยาก แต่เป็นลำดับ เห็นพัฒนาการความคิดตัวละครชัด ตามเรื่องสบายมากไม่แฝงปรัชญาให้หนักหัว ช่วงก่อนไปรบด้วยเสน่ห์ของการ์ฟิลด์ที่ยิ้มทีเอาหนังอยู่เลย แถมดราม่ากับพ่อที่เป็นอดีตทหารผ่านศึกแล้วเสียเพื่อนรักไปต้องมาเผชิญหน้าลูกชายสองคนที่สมัครทหารก็น่าสนใจมากๆ พอครึ่งหลังหนังเข้าโหมดสงครามก็ลุ้นระทึก ภาพรุนแรงสะเทือนตามากๆ ใครชอบหนังสงครามก็น่าจะชอบเลยล่ะแม้พระเอกจะไม่จับอาวุธสู้เลยแต่ก้ยังมันสะใจอยู่ คือหนังยาวสองชั่วโมงเกือบครึ่งแต่ไม่น่าเบื่อเลยครับ เป็นหนังบันเทิงที่สนุกเลยล่ะ แต่ใครเกลียดแหวะๆหรือมีบุตรหลานอายุน้อยๆก็เตือนก่อนนะครับ หนังภาพค่อนข้างรุนแรง(มากๆ)เลยล่ะ แต่ใครดูแนวนี้สบาย ก็มันเลยละครับ