Trespass Against Us หรือชื่อไทยว่า ปล้น / เเยก / แตก /หัก เป็นหนังดราม่าแอคชั่นเรื่องล่าสุดที่เน้นเนื้อหามาอารมณ์เข้มข้นคลั่กเลยทีเดียว หนังเรื่องนี้เป็นผลงานหนังยาวเรื่องแรกของผู้กำกับชื่อโหลอย่าง อดัม สมิธ ที่มีเครดิตค่อนข้างดีจากการกำกับทีวีซีรีส์ระดับโลกอย่าง Doctor Who ซีซั่นที่ 5 (2010) ถึง 3 ตอน ด้วยคะแนนวิจารณ์เฉลี่ยต่อตอนที่เขากำกับค่อนข้างสูงเสียด้วย แต่สำหรับในวงการหนังใหญ่ก็ต้องยอมรับว่าคงนิยามเขาได้เช่นเดียวกับหน้ากากโพนี่ว่า “เอ็งเป็นใครวะ” (ฮา)
มาดูที่บทหนังกันบ้าง หนังได้โปรดิวเซอร์อย่าง อะแลสแตร์ ซิดดอนส์ มาทำหน้าที่เขียนบทพ่วง ซึ่งซิดดอนส์เองก็ไม่ได้มีผลงานอะไรที่โดดเด่นมาก่อนหน้านี้เช่นกัน อ่าววว แค่ทีมงานหนังก็ชวนหวั่นใจยังไงชอบกล
แต่เดี๋ยวก่อนครับ หนังยังซ่อนทีมงานที่น่าสนใจไว้อยู่ เฉกเช่นหน้ากากโพนี่ที่แม้จะโลว์โปรไฟล์แต่น้ำเสียงลีลานั้นมหัศจรรย์
เริ่มตั้งแต่การกำกับภาพของ เอดูอาร์ด กราอู ผู้กำกับภาพเลือดสเปน ที่มีผลงานเจ๋ง ๆ อย่างการถ่ายภาพโคตรอึดอัดในหนังที่ ไรอัน เรโนลด์ ถูกฝังทั้งเป็นเรื่อง Buried (2010) และหนังสุดพิถีพิถันจากการกำกับเรื่องแรกของผู้กำกับ ทอม ฟอร์ด ใน A Single Man (2009) ด้วย นอกจากนี้หนังยังได้วงดูโอจากอังกฤษเจ้าของรางวัลแกรมมี่ อย่าง The Chemical Brothers มาทำดนตรีให้หนังเป็นครั้งแรกด้วย ว้าวเฮ้ย! ดูเริ่มมีของขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วสิ
แต่ถ้าพูดถึงตัวชูโรงของหนังตัวจริงเลย ก็ต้องเป็นการแสดงนำของ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ที่มาเล่นเป็นลูกชายของ เบรนแดน กลีสัน อีกครั้ง หลังจากเพิ่งเป็นพ่อลูกกันสด ๆ ในหนัง Assassins Creed (2016) นี่เอง ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะเสียงวิจารณ์จากเทศกาลหนังโตรอนโตที่หนังไปเปิดตัว ถึงกับบอกว่า “นี่คือหนังที่ฟาสเบนเดอร์ ยกระดับการแสดงไปอีกขั้น” ฟาสเบนเดอร์เองก็ไม่ได้ไก่กานับเป็นนักแสดงมีฝีมือคนหนึ่งของวงการเคยเข้าชิงออสการ์จากการแสดงถึงสองครั้งด้วย เมื่อมาปะทะกับกลีสันผู้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากผลงานแสดงถึงสามครั้งก็เรียกว่ามวยถูกคู่ทีเดียว
หนังเล่าเรื่องของ แชด (ฟาสเบนเดอร์) ชายผู้เกิดมาในครอบครัวอาชญากร โดยได้รับการถ่ายทอดวิถีชีวิตมาจาก โคลบี้ (กลีสัน) พ่อของเขาเอง เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวโคลเตอร์ สำหรับ โคลบี้ แล้วมันคือประเพณีที่ต้องสืบทอดวิถีชีวิตและความเชื่อจากตนสู่ลูก จากลูกสู่หลาน เป็นทอด ๆ กันไปเช่นเดียวกับที่เขาสืบทอดวิถีโจรนี้มาจากปู่และพ่อ โคลบี้หวังว่าแชดเองก็จะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าโจรและสอนให้หลานชายอย่าง ไทสัน (จอร์จี สมิธ) ต่อไปเช่นกัน แม้คนทั่วไปจะหัวเราะเยาะแต่ โคลบี้ก็เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่ามันคือทางแห่งความรักและถูกต้อง เช่นเดียวกับที่เขามักเล่าเสมอว่าโลกนั้นแบน มนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการมาจากลิง และพระเยซูเองก็ถูกพวกตำรวจฆ่าตาย
แต่ในมุมมองของแชดเอง เขากลับไม่อยากให้ลูกชายของเขาต้องดำเนินชีวิตโจรตามแบบตนและพ่อของเขา ทั้งตัวเคลลี่ (ลินด์เซย์ มาร์แชล) ภรรยาผู้เป็นเหมือนแสงแห่งความดีในใจของแชด ก็เริ่มจะทนไม่ได้กับการอยู่ใต้คำสอนแบบผิด ๆ ของโคลบี้ รวมถึงสุนัขรับใช้ปัญญาอ่อนของโคลบี้ผู้สร้างความบรรลัยอยู่เสมออย่าง เบนเน็ต (ชอน แฮร์ริส) ด้วย ความขัดแย้งจึงได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่มีเหตุผลกันทั้งสองฝั่งระหว่างสายเลือดกับความถูกต้อง และความรักบริสุทธิ์ของพ่อกับความงมงายไร้เหตุผล เรียกว่าชงมาดราม่าครอบครัวหนักเลยทีเดียว
หนังโดดเด่นมาก ๆ กับงานภาพที่ตั้งใจถ่ายสวยหยด รวมถึงซาวด์ดนตรีประกอบที่ไม่ธรรมดาอย่างที่บอกไปแต่ต้นว่าซ่อนยอดฝีมือไว้ในนัง แต่ที่ต้องชมเชยจริง ๆ คงเป็นการถ่ายทอดการแสดงของฟาสเบนเดอร์จากบทหนังที่ดีตามมาตรฐานหนังดราม่า ช่วยหนังให้น่าติดตามขึ้นเยอะมาก ข้อเสียของหนังคือมันเล่าแบบสไตล์อังกฤษจ๋า ที่มักละเมียดมีกลิ่นช้า ๆ เอื่อย ๆ ไม่เร้ารัวแบบหนังฮอลลีวู้ด ไคลแม็กซ์และจุดบีบคั้นต่าง ๆ ไม่ดราม่าหนักเอาเป็นเอาตายกับคนดู แม้แต่ตอนจบเองก็ยังเคลียร์ปัญหาต่าง ๆ ได้แบบเบา ๆ ฟีลกู้ดเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นมันก็ดูสนุกมากเรื่องหนึ่ง คือไม่เบื่อเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ฉากแอคชั่นไล่ล่าด้วยรถจริง ๆ แล้วถ้าเอาระเบิดตูมตามบ้าบอเกินจำเป็นมาใส่มันก็คือ Fast & Furious เวอร์ชั่นอังกฤษดี ๆ นี่เองเลยครับ แถมพวกดราม่าบทสนทนาก็ทำให้ขบคิดตามตัวละครได้อินดี มันก็ลำบากใจจริง ๆ ล่ะกับทางเลือกในชีวิตที่มีพ่อมาเกี่ยวข้องน่ะ
สรุป
หนังเรื่องนี้มันคือหน้ากากโพนี่ชัดเลย ๆ ครับ คือถึงบอกชื่อหนังไป ชื่อคนทำไป คงได้แต่เหวอว่าใครวะ? เรื่องอะไรวะ? แต่มันสำคัญเหรอถ้าหนังมันดูสนุก ดูมีของ เพียงแต่ฟอร์มเล็กและการเล่าเป็นสายดราม่าอังกฤษที่จังหวะไม่คุ้นชินนักเท่านั้นเอง
หนังเข้าฉาย 2 มีนาคมนี้แล้ว รอบโรงอาจไม่มาก ใครมีโอกาสอยากพักหัวจากแนวฮอลลีวู้ดเลือดเดือดก็แนะนำดูครับ