ในยุคที่หนังสือหรือหนังในวันเก่าก่อนถูกปัดฝุ่นมารีเม็คใหม่ ในอีกแง่มุมมันคือการผลิตซ้ำและขายของที่ดูเหมือนจะง่ายที่สุดที่จะดึงเงินคนดูในกระเป๋า แต่ขณะเดียวกันมันก็แฝงไว้ด้วยโจทย์ที่ยากขึ้นตามกาลเวลา และวิวัฒนาการของผู้เสพ ที่หากใคร ‘ก้าวพลาด’ ในยุคนี้ โซเชียลเน็ตเวิร์กจะปฏิบัติการขยี้และเบียดทางเดินให้หนังแบบนั้นตกกระป๋องไปอยู่สุดขอบโลกในเวลาสั้นๆ คำถามนี้เกิดขึ้นหลังจากได้เห็นหน้าหนัง Power Rangers ที่กลับมาลงจอเงินอีกครั้งในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ว่ามันจะเอาตัวรอดเมื่อมาเปิดหน้าแลกในยุคนี้ได้หรือเปล่า
แน่นอนว่าถ้าพูดถึงเหล่านักรบ 5 สี คนที่โตๆ แล้วหน่อยก็ต้องนึกถึงชื่อของ ขบวนการนักรบไดโนเสาร์จูเรนเจอร์ส ของโตเอะ เจ้าเดิม ที่บริษัท ทูนทาวน์เอนเตอร์เทนเมนต์ ของน้าต๋อย เซ็มเบ้ เคยเอาฉายบ้านเราทางช่อง 9 ในช่วงปี 1994 ขณะที่ตอนขยายตลาดไปฉายโซนตะวันตกให้ฝรั่งตาน้ำข้าวดูบ้าง Saban Entertainment ก็มาซื้อลิขสิทธิ์ไปทำใหม่ให้ฝรั่งดูรู้เรื่องเป็น Power Rangers ซึ่งมันก็มีกระแสดีมากในตลาดอเมริกา จนถูกทำเป็นซีรีส์ทางทีวี และกลายเป็นอีกหนึ่งฮีโร่ที่คนทั่วโลกเข้าถึงและกลายเป็นของสะสมทำเงินได้มากจากโมเดลหุ่นเหล็กไปทั่วโลก
ด้วยความที่มันเป็นขบวนการมนุษย์ 5 สีที่มีการเดินเรื่องตามสูตรสำเร็จของหนังสำหรับเด็ก ภาพลักษณ์ในความเป็นสินค้าของเล่นในมุมโหยหาอดีตจ๋า (nostalgia) ทำให้การปรากฏตัวของ Power Rangers ฉบับรีบูทบน พ.ศ. นี้ อาจไม่ถูกคาดหวังมากนัก ตัวหนังเริ่มต้นเรื่องราวโดยสร้างสถานการณ์ให้กลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีปมปัญหาต้องมาเจอกันและผจญภัยไปด้วยกันอย่างไม่คาดฝัน พวกเขาค้นพบหินปริศนานอกโลกที่ซ่อนอยู่ในเหมืองแห่งหนึ่งในเขตหวงห้ามของเมืองแอลเจลโกรฟ ซึ่งพวกเขาทั้ง 5 คือผู้ถูกเลือกให้มีพลังพิเศษเพื่อเป็นตัวแทนปกป้องโลกนั่นเอง
Power Rangers เวอร์ชันนี้ได้ทีมงานที่ค่อนข้างเจนเวทีมาทำอยู่แล้ว โดยเฉพาะทีมเขียนบท แอชลีย์ มิลเลอร์ และ แซ็ค สเตนท์ซ จาก Thor เทพเจ้าสายฟ้า, X-Men: First Class และทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่เคยทำ Transformer และ Maze Runner ส่วนนักแสดงหลักนั้นเป็นหน้าใหม่เสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ดาเคร มอนท์โกเมอรี (เรดเรนเจอร์ส), นาโอมิ สก็อตต์ (พิงค์เรนเจอร์), ลูดี้ หลิน (แบล็คเรนเจอร์), อาร์ เจ ไซเลอร์ (บลูเรนเจอร์) และ เบ็คกี้ จี (เยลโล่เรนเจอร์) ที่คุ้นหน่อยเห็นจะมี อลิซาเบธ แบงค์ ในบท ริต้า รีพัลซ่า ซึ่งเป็นตัวร้ายหลักในเรื่อง
นอกจากเรื่องของซีจีที่เป็นจุดขายของ Power Rangers มาตลอดและถูกจับตามองนั้น มีอีกหนึ่งเรื่องที่ Power Rangers ในเวอร์ชันนี้สร้างเซอร์ไพรส์คือการปูเรื่องและการผูกปมของตัวละคร หนังพยายามไม่แตะเรื่องของหุ่นยนต์หรือการแปลงร่างใดๆ เลย มันเล่นประเด็นในเรื่องของตัวละครแบบหนัง coming of age ที่คาบเกี่ยวกับภารกิจที่หนุ่มสาวกลุ่มนี้ต้องลุกขึ้นมารับผิดชอบ ในมุมหนึ่งมันเป็นการเฝ้าดู สำรวจตัวละคร ที่ผ่านวงจรล้มเหลว เรียนรู้และเติบโตขึ้น หนังเล่นกับด้านมืดในจิตใจของตัวละคร ซึ่งแทบจะเป็นเมนูสำเร็จรูปของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ในยุคนี้ที่ดึงบทบาทของฮีโร่ให้ลงมาอยู่ใกล้ๆ กับคนสีเทาๆ และมุกนี้ก็ยังใช้ได้ดีกับ Power Rangers เช่นกัน
จุดหนึ่งที่ชอบคือหนังใช้ symbolic มาเป็นส่วนหนึ่งของการปูเรื่อง ทำได้ดูลึก น่าค้นหา น่าติดตาม สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้คนดู ประมาณตื่นเต้นว่า ‘อยากเห็น เมื่อไหร่จะแปลงร่าง’ แม้มันจะมีจุดที่แอบเนือยไปบ้างกับการปูที่กินเนื้อหาของเรื่องไปเกินครึ่ง จนอาจทำให้ใครบางคนทิ้งหนังไปเลย แต่หนังก็มีมุกตลกแนวล้อเลียนหนังหุ่นยนต์บางเรื่อง รวมทั้งมุขประชดจิกกัดมนุษย์กล้องโซเชียลมาคั่นอยู่เป็นระยะ สำหรับเวลาตรงนั้นที่เสียไป ส่วนตัวคิดว่ามันคุ้มค่าและทำให้ Power Rangers มีไดนามิกและจุดพีคที่น่าจดจำ การแปลงร่างและการปรากฏตัวของการวมร่างเมก้าซอร์ด ทำได้ตื่นเต้นอลังการเกินความคาดหมาย อีกหนึ่งจุดที่อยากพูดถึงคือ เมสเซจของเรื่อง ที่เน้นความเป็นทีมเวิร์กนั้นชัดเจนมาก จังหวะของการสอดแทรกแง่คิดก็ทำได้ลงตัว ยิ่งดู ก็ยิ่งรู้สึกเป็นเด็กที่ยังตื่นเต้นกับการรีบตื่นเช้ามานั่งเฝ้าหน้าจอรอฮีโร่ของเราทุกวันอาทิตย์เหมือนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน
ในยุคนี้นอกจากหนังโรงแล้วแวดวงโฆษณาเองก็ต้องปรับตัว ทุกวันนี้ไม่มีใครเอาสินค้ามายัดใส่หน้าคนดูหรือมาพร้อมโฆษณาทื่อๆ ได้อีกแล้ว ทุกอย่างถูกปรับไปเป็นอินเทอร์เน็ตฟิล์ม เพื่อจะสื่อสารกับคนยุคนี้ ซึ่ง Power Rangers 2017 คือขบวนการ 5 สีที่ไม่ถูกทิ้งไว้เป็น ‘ไดโนเสาร์’ หากแต่มันปรับตัวและกลายพันธุ์ได้น่าชื่นชม บนความอึมครึมและตึงเครียดของสังคมยุคดราม่าครองเมือง ความจริงบนโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด การเยียวยาด้วยการเลือกอยู่บนความฝันสวยๆ โลดแล่นบนทุ่งลาเวนเดอร์บ้างมันคงไม่เสียหายอะไร และ Power Rangers คือความฝันที่ทุกคนสามารถเดินเข้ามาจับต้องและหวนนึกถึงมันด้วยความสุขก่อนเดินออกจากโรงไป