เรื่องที่ 6 ในแฟรนไชส์เอเลี่ยน แต่เป็นภาคที่ 2 ในไตรภาคเรื่องราวก่อนหน้าที่ ริดลีย์ สก๊อตต์ ตั้งใจจะทำให้ครบ 3 ภาคมาเชื่อมต่อกับภาคปฐมบท Alien (1979) ที่เขาเป็นผู้ให้กำเนิดเอง เหตุที่เกิดไตรภาคนี้ก็เพราะ ริดลีย์ ได้ดู Alien3 (1992) แล้วรู้สึกแย่กับผลงานภาคต่อ แล้วไม่อยากจะไปสานต่อเรื่องราวจากภาค 4 ที่ยิ่งออกทะเลไปใหญ่ ก็เลยขอมาทำเรื่องราวก่อนหน้าออกมาเป็นไตรภาคแทนแล้วกัน
Alien: Covenant เป็นเหตุการณ์ต่อจาก Prometheus ในอีก 11 ปีต่อมาเป็นปี 2104 ที่เปิดเรื่องมาบนยาน Covenant เป็นยานขนย้ายมนุษยชาติลำใหญ่มีเป้าหมายที่ดาวอะไรซักอย่างชื่อจำยาก เพื่อไปตั้งรกรากมี วอลเธอร์ หุ่นยนต์ควบคุมยาน ที่เป็นรุ่นใหม่กว่า “เดวิด” จาก Prometheus แต่หน้าตาเหมือนกัน ระหว่างเดินทางอีก 7 ปีจะถึงจุดหมาย ยานได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดในอวกาศ วอลเธอร์ จึงปลุกลูกเรือทั้ง 15 คนให้มาซ่อมแซมยาน ระหว่างซ่อมแซมก็ได้รับสัญญานเป็นเสียงเพลง “Take Me Home Country Road” ลูกเรือจึงช่วยกันหาที่มาของสัญญาณ กลับพบว่ามาจากดาวเคราะห์ที่ใกล้กว่ามาก มีบรรยากาศปกคลุม มีภูเขา น้ำ ต้นไม้แทบเหมือนโลกทุกอย่าง ด้วยระยะทางที่ใกล้กว่าเป้าหมายเดิมมาก ทั้งหมดจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนไปที่ดาวลึกลับนี้แทน และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในภาคนี้ เพราะตั้งแต่นาทีที่ยานลงจอดหนังก็ถูกปกคลุมไปด้วยปริศนามากมาย ทั้งโลเคชั่นที่สวยงามแต่ดูลึกลับ มีธัญพืชจากโลก และซากต้นไม้ปรักหักพังที่ไม่รู้สาเหตุ ฉากเปิดตัวดาวนี้สวยงามมากและดูลึกลับในคราเดียวกัน ฉากนี้ไปถ่ายทำกันที่นิวซีแลนด์ครับ
เป็นภาคที่ใส่ปริศนาใหม่เข้ามาแต่ก็ถูกคลี่คลายจบในภาคนี้ บางปริศนาถูกแฝงมาในคำพูดเชิงกวีที่เดวิดอ้างมาจากไบเบิ้ลที่กล่าวถึง”ผู้สร้าง” และยังเผยที่มาของ เอเลี่ยนในร่าง Xenomorph ไอ้ตัวหัวยาว ๆ ฟันยื่นที่เราคุ้นหน้ากันนั่นแหละ ว่าใครคือผู้ให้กำเนิดมัน ถ้าใครคิดถึงไอ้ตัวนี้ภาคนี้มาวิ่งให้ดูกันชัด ๆ เอาให้หายคิดถึงกันไป รวมถึงตัว FaceHugger ตัวอ่อนเกาะหน้าที่ไม่ได้เห็นกันมานานแล้วก็มีให้ดู ไม่พอยังมีการเผยโฉมหน้าของเอเลี่ยนพันธุ์ใหม่ให้เห็นอีกด้วย เรียกว่าบรรยากาศหนังพาย้อนไปเหมือนกับ Alien (1979) ที่บรรดามนุษย์ต้องวิ่งเอาตัวรอดหนีตายจาก เอเลี่ยน อารมณ์หนังหนักไปทางแนวหนังสยองขวัญในยุคก่อน ๆ ที่สร้างแคแรคเตอร์ตัวละครมาเยอะ ๆ แล้วก็ให้กลายเป็นเหยื่อเอเลี่ยนไปทีละคน ผิดที่ว่าเอเลี่ยนภาคนี้แม้จะดุขึ้น มีฉากโหดให้ดูพอควร แต่กลับไม่รู้สามารถสร้างความน่าสะพรึงได้เท่ากับเอเลี่ยนยุคก่อน ไม่มีซีนให้ต้องลุ้นมากนัก ไม่มีตุ้งแช่ โผล่มาแว่บก็กัดตายเลย
Xenomorph ในภาคนี้ก็ดีไซน์ใหม่ให้ตัวเล็กลงปราดเปรียวมากขึ้น ใส่ดีเทลลวดลายลงไปบนตัวมากขึ้น แต่สิ่งที่ขาดไปคือความน่าเกรงขามที่เคยมีในเวอร์ชั่นเก่า ๆ ไม่รู้ว่าถ้า เอช.อาร์ ไกเกอร์ ศิลปินผู้ออกแบบตัวเอเลี่ยน มาเห็นภาพลักษณ์เวอร์ชั่นใหม่ ๆ นี่จะรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ เอช.อาร์ ก็ไม่ได้เห็นแล้วล่ะ เพราะเสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2557
แดเนียล นางเอกภาคนี้ได้ แคทเธอรีน วอเตอร์สัน ที่เพิ่งเห็นหน้ากันมาจาก Fantastic Beasts and Where to Find Them แคทเธอรีน ในลุคผมสั้นหน้าตาดูน่ารักเกินกว่าจะมารับบทเป็นสาวห้าวที่สะพายปืนวิ่งไล่เอเลี่ยน บทของเธอดูมีความพยายามเป็นริปลีย์มาก และดูจะแข็งแกร่งกว่าริปลีย์เสียด้วยซ้ำ เพราะแดเนียล ดูจะไม่มีความเกรงกลัวต่อเอเลี่ยนเลยกลับวิ่งเข้าใส่เสียด้วยซ้ำ และด้วยความที่แดเนียลเก่งเสียเหลือเกิน ทั้งฉลาดคิดไวทำไวพุ่งเข้าใส่ก็เลยทำให้ฉากแอ็คชั่นดูเบาความตื่นเต้นเกินไป แทบไม่รู้สึกต้องเอาใจช่วยกับแดเนียลเลย แต่ถึงแม้ แดเนียล จะอยู่ในสถานะตัวขายของภาคนี้มีเธอยืนเด่นบนโปสเตอร์ แต่บทนำหาใช่เธอไม่ แต่กลับเป็น ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ที่ต้องเล่นเป็นทั้งวอลเธอร์ หุ่นประจำยาน Covenant และมาสานต่อบท เดวิด ผู้กุมปริศนาทั้งหมดไว้ นับเป็นดาราฮอลลีวู้ดที่งานชุกมาก สัปดาห์ก่อนก็เพิ่งมี Song To Song ที่เข้าฉายในบ้านเราแบบเงียบ ๆ
จัดเป็นภาคที่เอาใจตลาดมากขึ้น กับพลอตที่ซับซ้อนน้อยลงกว่าภาคก่อน แต่ค่อนข้างหนักไปกับฉากสยองขวัญไล่ล่าและโหด ปริศนาทั้งหมดถูกคลี่คลายแต่สมควรที่จะรื้อฟื้นความทรงจำจาก Prometheus เสียก่อนเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น ภาคต่อไปริดลีย์จะก่อนจะขยับเรื่องราวไปเชื่อมต่อกับ Alien (1979) ให้มากขึ้น เพราะเหตุการณ์ใน Covenant นี้ห่างกันอยู่แค่ 20 ปีแล้ว หนังภาค 3 จะเปิดกล้องในปีหน้านี้แล้ว และน่าจะเป็นการปิดแฟรนไชส์ในส่วนของ ริดลีย์ สก๊อตต์
ก่อนดู จำเป็นมากที่ต้องดูคลิปนี้นะครับ เหตุการณ์เชื่อมต่อระหว่าง Prometheus และ Covenant