ย้อนกลับไปปี 2015 ชื่อของผู้กำกับอย่าง ณอน เบเกอร์ ถูกกล่าวในฐานะผู้กำกับที่บ้าบิ้นใช้ Iphone 5S ทำหนังอย่าง Tangerine จนได้เข้าฉายสายประกวดและได้รับการจับตามองทั้งชื่อชั้นและฝีมือ จนเราสงสัยใคร่รู้ว่างานชิ้นต่อมาของเขาจะยังเล่นกับการถ่ายด้วยอุปกรณ์จิ๋วอีกหรือไม่ และจะเล่าเรื่องอะไรต่อจากชีวิตกะเทยเปรี้ยวซ่าเฉดส้มในเรื่องที่ผ่านมา แม้โดยเนื้องานโปรดักชั่นของ The Florida Project จะถูกยกระดับขึ้นมาเป็นการถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม แต่กระนั้นโดยเนื้อหาก็ยังวนเวียนอยู่กับชีวิตของคนตัวเล็กๆ ที่คราวนี้ดูจะเล็กเป็นพิเศษเพราะมุมมองส่วนใหญ่คือมาจากเด็กๆ 5-6 ขวบที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวโก้หรูเหมือนอย่างภาพที่ปรากฎในโฆษณาทีวี
ตัวหนังเองไม่ได้มีโครงเรื่องชัดเจนมากนัก นอกจากเป็นเรื่องราวที่ผ่านสายตาของ มูนี่ (บรูคคลิน พริ้นซ์) เด็กสาวแก่นเซี้ยวหัวโจกแก๊งเด็กแสบแห่งเมจิก แคสเซิลโรงแรมซอมซ่อที่ถูกทาด้วยสีม่วงสดใส เธอดำรงชีวิตแต่ละวันไปกับการเล่นสนุกที่บ่อยครั้งก็เลยเถิดจนสร้างความโกลาหลไม่เว้นแต่ละวัน ส่วน เฮลีย์ (บรีอา ไวเนต) คุณแม่ยังสาวก็เลือกทำทุกทางให้เธอและมูนี่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าเช่าให้ บ็อบบี้ (วิลเลม เดโฟ) ผู้จัดการโรงแรมปากร้ายแต่ใจดีได้ทันในแต่ละอาทิตย์ แต่หลังมิตรภาพระหว่างเฮลีย์กับแอชลีย์ (เมลา เมอร์เดอร์)เพื่อนสาวที่เคยพึ่งพิงสะบั้นลง หลังเกิดเหตุร้ายที่เด็กๆก่อขึ้น ชีวิตของสองแม่ลูกแห่งเมจิก แคสเซิล จะสุขสันต์ชั่วกาลนานหรือไม่ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้คำตอบ
กล่าวอย่างรวบรัดตัดความ นี่คือหนังที่สร้างเรื่องราวชีวิตของคนธรรมดาๆได้อย่างมหัศจรรย์มาก โดยเฉพาะการแสดงที่เหมือนไม่แสดงของหนูน้อย บรูคคลิน พริ้นซ์ ที่ขโมยหัวใจคนดูได้ตั้งแต่เปิดเรื่อง คนดูพร้อมจะเชื่อทันทีว่าเธอคือเด็กแสบที่มีพลังทำลายล้างอย่างมหาศาลแต่คนดูกลับเกลียดเธอไม่ลง ด้วยมุมมองแบบเด็กไร้เดียงสาที่เลือกมองทุกอย่างเป็นเรื่องสวยงามเปี่ยมสีสัน ส่วนนักแสดงสมัครเล่นอย่าง บรีอา ไวเนต ก็รับบทแม่ยังสาวแถมแสบเกินพิกัดจนคนดูไม่อาจละสายตาได้ และที่สำคัญเธอสามารถต่อกรกับ วิลเลม เดโฟ นักแสดงมืออาชีพได้อย่างไม่เขอะเขิน ซึ่งสำหรับผู้เข้าชิงออสการ์หนึ่งเดียวอย่าง วิลเลม เดโฟ เองก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะเขาสามารถถ่ายทอดบทบาทผู้จัดการโรงแรมที่แม้ภายนอกจะดูเหมือนผู้คุมกฎแต่กลับอ่อนโยนกับเด็กจนเกิดโมเมนต์น่ารักจากชายหน้าโหดรายนี้เต็มไปหมด
อีกส่วนไม่พูดไม่ได้คืองานสร้างของหนังที่เน้นสีสันเพื่อสื่อถึงโลกความไร้เดียงสาของเด็กในครึ่งแรกก่อนจะสลับไปเล่าปมปัญหาของตัวละครผ่านอาคารสีทึมทึบในช่วงหลังที่เป็นมุมมองผู้ใหญ่มากขึ้น ตั้งแต่สีม่วงของโรงแรมเมจิกแคสเซิล หรือสีสันร้านรวงต่างๆ หรือกระทั่งการเลือกสถานที่มาสื่อถึงบริบทสังคมได้อย่างคมคาย สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความแม่นยำของเบเกอร์ ผู้กำกับหนุ่มวิสัยทัศน์ไกลที่สามารถพาคนดูตามติดชีวิตคนตัวเล็กได้ตลอด 2 ชั่วโมงได้อย่างเปี่ยมสีสัน ที่สำคัญคือฉากจบของเรื่องนับว่าทรงพลังในระดับตราตรึงใจและทิ้งให้คนดูเกิดคำถาม ยั่วให้คิดตามได้แบบไม่ยัดเยียดอีกด้วย
กล่าวโดยสรุปแล้ว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ The Florida Project คือการบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบได้อย่างมีสีสัน น่ารัก เปี่ยมอารมณ์ขัน หนูน้อย บรูคคลิน พริ้นซ์ สามารถขโมยหัวใจคนดูได้ทั้งเรื่อง ซึ่งคงต้องยกความดีให้ ณอน เบเกอร์ ผู้กำกับอนาคตไกลที่ทำหนังออกมาได้น่ารักและคมคายขนาดนี้