ช่วงหลังทาง Disney เองก็ดัดแปลงการ์ตูนมาทำเป็นหนัง Live Action ออกมาเรื่อย ๆ และทำออกมาได้ดีด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Winnie the Pooh ที่ใช้ชื่อหนังอย่างเป็นทางการว่า Christopher Robin โดยได้ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ ผู้กำกับที่เคยผ่านงานอย่าง World War Z, Monsters Ball และ Quantum of Solace มานั่งแท่นกำกับหมีพูห์เวอร์ชันคนแสดง ซึ่งใน Live Action นี้จะเน้นไปที่ชีวิตของ คริสโตเฟอร์ โรบินส์ (ยวน แม็คเกรเกอร์) ที่เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ในปลายยุค 1940 ทำงานหนัก มีครอบครัว และกำลังเผชิญปัญหาในช่วง Midlife Crisis จนหลงลืมตัวตน ละเลยคนรอบข้าง และมืดบอดในการควานหาความสุขที่แท้จริง จนกระทั่งเจ้าหมีพูห์แห่งป่า 100 เอเคอร์ปรากฏตัวขึ้นกลางกรุงลอนดอน ทำให้โรบินส์ต้องหาทางพาเพื่อนเก่ากลับบ้านเดิมที่ซัสเซ็ก และจากนั้นเรื่องราวจากความทรงจำในวัยเด็กของโรบินส์ก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง
ต้องบอกเลยว่า Christopher Robin ในเวอร์ชัน Live Action นั้นทำออกมาได้ลงตัวดีเยี่ยมมาก ๆ เริ่มจากจุดแข็งในเรื่องของการผสมผสานตัวการ์ตูนกับตุ๊กตาของจริงในการเดินเรื่อง ซึ่งทำได้ดูสมจริง อันที่จริงต้องบอกว่าแนวทางของ Christopher Robin นั้นเดินตามสูตรเดียวกับ TED เจ้าหมีจังไรมาก ๆ เพียงแต่ต่างกันตรงที่ว่าเรื่องนี้เน้นจับไปที่ประเด็นความเป็นครอบครัวอบอุ่นเป็นหลัก ขณะเดียวกันอีกจุดแข็งที่ทำให้ตัวละครในแก๊งการ์ตูนดูมีชีวิตชีวาจับต้องได้ก็ต้องยกให้ทีมพากย์รุ่นเก๋า โดยเฉพาะ จิม คัมมิงส์ ที่ให้เสียงทั้งเป็นหมีพูห์และทิกเกอร์นั้นมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย มีส่วนในการยกระดับหนังเวอร์ชันนี้ไปอีกขั้นจริง ๆ
Christopher Robin มันคือ coming of age ของคริสโตเฟอร์ โรบินส์ ในวัยผู้ใหญ่ ที่ด้วยแบ็คกราวน์ในชีวิตทำงาน ได้เปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของเขาไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในยุคอุตสาหกรรมคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนไม่มีเวลาให้ครอบครัวคือภรรยา เอเวอร์ลิน (เฮลีย์ แอทเวลล์) และลูกสาว แมเดลิน (บรอนท์ คาร์ไมเคิล) ของเธอมากพอ โลกของโรบินส์ที่มีแต่หน้าที่และความรับผิดชอบแบกอยู่บนบ่าสองข้างของเขามาตลอด จุดเปลี่ยนอีกครั้งที่จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปได้ก็คือต้องมีเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ระดับค้อนปอนด์ลงมาทุบหัว หรือฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าหมีพูห์ และผองเพื่อนในวัยเด็กของเขานั่นเอง
สิ่งที่ผมชอบและรู้สึกดีกับหนังมาก ๆ เลยคือวิธีการเล่าเรื่อง ทุกวันนี้หนังหลายเรื่องที่อิงจากนิยายแฟนตาซีแล้วใช้พลอตที่ซับซ้อน เพื่อทำให้คนเห็นภาพมาก ๆ แต่มันไม่อิมแพ็คเท่ากับวิธีของ Disney ที่เดินเรื่องแบบเรียบง่าย เล่าละเอียด ลึกซึ้งและสนุกไปกับตัวหนังด้วย หนังไม่ได้ขยี้ให้บ่อน้ำตาแตกกับการรำลึกคืนวันเก่า ๆ เมื่อจะเดินไปถึงจุดนั้น มันก็จะถูกสอดแทรกด้วยความทะเล้นของตัวละคร มุกตลกและความน่ารักในเรื่องให้ความรู้สึกมันลุ่มลึกพอดี ที่สำคัญคือ เมสเซจ ของหนังที่สอดแทรกมา สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมาก ๆ มันบอกเราเบา ๆ ว่า ไอ้ที่ผู้ใหญ่เขาทำกันอยู่น่ะ บางอย่างก็เป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลาทั้งนั้น การกระทำที่แลกกับเวลาอันมีค่าของชีวิตที่เราควรจะให้ความสำคัญกับคนที่เรารัก และสิ่งที่ทำให้มีความสุขโดยที่ไม่ต้องพยายาม เรากลับทำง่วนทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ที่สุดท้ายแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิตเลย หรืออีกนัยหนึ่งหนังเรื่องนี้แอบจิกกัดชีวิตในยุคอุตสาหกรรมอย่างแนบเนียน
‘บางครั้ง..การไม่ทำอะไร คือการกระทำที่ดีที่สุด’