Our score
5.5The Call of The Wild
จุดเด่น
- เหมาะกับคนดูที่ไม่ค่อยมีเวลา เพราะหนังสั้นแค่ 100 นาที
จุดสังเกต
- ซีจีอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานดิสนีย์ชัด ๆ
- หมาซีจี ดูผิดธรรมชาติจนเราไม่อาจหลงรักหรือเอ็นจอยกับมันได้
- เรื่องหลายพาร์ตถูกยัดในหนังแค่ 100 นาทีจนอารมณ์ไม่ได้เลย
- แฮริสัน ฟอร์ด ไม่ได้มีธุระอะไรที่ต้องมายุ่งกับหนังเรื่องนี้แม้แต่น้อย
- งานภาพของ ยานุตซ์ กามินสกี ถูกลดเกรดด้วยซีจีเสิ่นเจิ้นอย่างเห็นได้ชัด
-
ความสมบูรณ์ของบท
5.5
-
คุณภาพนักแสดง
5.5
-
คุณภาพการผลิต
5.5
-
ความสนุก
5.5
-
คุ้มค่าตั๋ว
5.5
หนังตามติดชะตากรรมอันพลิกผันของ บั๊ก สุนัขพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ด สก็อตคอลลีย์ จากหมาเอาแต่ใจของนายอำเภอที่ถูกลักพาตัวจากบ้านหลังใหญ่แสนสุขสบายกลายเป็นสุนัขลากเลื่อนส่งจดหมาย และสุดท้ายก็ได้ผูกสัมพันธ์กับ จอห์น ธอร์นตัน (แฮริสัน ฟอร์ด) ชายชราที่เคยสูญเสียลูกชายสุดที่รัก และการได้มาเจอบั๊กก็ทำให้เขากล้าลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอีกครั้งจนนำไปสู่การผจญภัยเพื่อค้นหาทองคำในตำนาน ทว่ายังมี ฮาล (แดน สตีเฟนส์) นักเดินทางแสวงโชคที่ความโลภทำให้เขากล้าทำทุกอย่างเพื่อกำจัดทุกคนและทุกตัวที่มาขวางทางรวยของเขา
เชื่อว่างานยากในการเอา The Call of The Wild วรรณกรรมทรงคุณค่าระดับหนังสืออ่านนอกเวลาที่อยู่ในใจนักอ่านมานานแสนนานตั้งแต่ปี 1903 คงไม่พ้นการต้องเดาทิศทางลมในการดัดแปลงเรื่องราวให้เอาใจคนดูยุคนี้ ซึ่งทำได้อย่างยากลำบาก เพราะในขณะที่เนื้อหาในหนังสือเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงและชะตากรรมอันพลิกผันของบั๊ก เจ้าหมาตัวโตที่มีทั้งความน่าตื่นตาตื่นใจและสัจธรรมชีวิตที่ไม่ได้มีแต่ด้านสว่างมาสื่อสารกับเยาวชนให้เห็นความจริงของชีวิต และแน่นอนว่าการที่มันกลายเป็นหนังมาหลายรอบก็ยิ่งทำให้ความซ้ำและช้ำของเรื่องราวที่หามุมเล่าใหม่ได้ยากเต็มที แต่สำหรับการดัดแปลงล่าสุดหลังดิสนีย์ซื้อฟอกซ์ ถือปฐมฤกษ์เปลี่ยนชื่อเป็น Twentieth Century Studio ตัวหนังเลือกทำเป็น ไลฟ์แอ็กชันที่ผสานคนจริงเข้ากับน้องหมาที่เป็นซีจี และยังดัดแปลงเรื่องราวให้สั้นลงเหลือเป็นหนัง 100 นาทีอี๊ก
ณ ตอนนี้ เรายังคงหาข้อมูลไม่ได้ว่าบทภาพยนตร์ตอนแรกถูกเขียนมาเล่าเรื่องราวในแต่ละพาร์ตของเจ้า บั๊ก ยังไง แต่สำหรับหนังในฉบับที่เสร็จออกมา ปัญหาประการแรกเลยคือมันไม่สามารถแบ่งสัดส่วนการเล่าเรื่องให้พอดีและทำให้เราเข้าใจ เห็นใจหรือเอาใจช่วยเจ้าบั๋กหรือกระทั่งธอร์นตันได้เลย โดยหนังเลือกไปใช้การเล่าเรื่องเรียงลำดับเวลาแบบเดียวกับนิยายแต่ขลิบทุกอย่างให้สั้นลงราวกับดูคลิปยูทูบแล้วกดเลื่อนให้มันจบเร็วขึ้นเพื่อหวังเอาใจคนดูยุคใหม่ที่ไม่อดทนกับการเล่าดรามาให้ยืดยาว
ผลลัพธ์คือนอกจากความต่อเนื่องทางอารมณ์ไม่ได้แล้ว ทิศทางของหนังยังสะเปะสะปะ เพราะมันเริ่มเรื่องราวกับหนังคอเมดีน้องหมาสุดป่วนตอนอยู่กับนายอำเภอ ไปสลับกับดราม่าชีวิตหมาบัดซบอยู่ราว 5 นาทีหลังถูกขโมย และอยู่ ๆ ก็กลายเป็นน้องหมาผจญภัยกลายเป็นหมาลากเลื่อนหลังได้เจอกับคู่รักไปรษณีย์ชาวแคนาดา (ที่ดูมีเรื่องมีราวที่สุดแล้ว)แล้วอยู่ดี ๆ เจ้าบั๊กก็ได้มาขโมยขวดเหล้าธอร์นตันอย่างงง ๆ แล้วโดนฮาลตามล่าเพื่อหวังให้คนน้ำตาแตกกับชะตากรรมสุดท้ายที่หนังเลือกดัดแปลงและตัดจบให้สั้นกว่าฉบับนิยาย
ซึ่งสิ่งที่หายไปอย่างเห็นได้ชัดคือ ดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่ามันคือ “เสียงเพรียกจากพงไพร” ยังไง เพราะนอกจากวิญญาณหมาดำที่โผล่มางง ๆ แล้วหนังก็ตัดรายละเอียดที่ถือเป็นหัวใจของหนังสืออย่างการใช้ชีวิตในป่าของคนอย่างธอร์นตันและการพาตัวเองจากหมาบ้านไปรู้จักกับเผ่าพันธุ์หมาป่าของบั๊ก โดยคนดูจะได้เห็นแค่บั๊กเข้าป่าไปหาเมียแล้วช่วยชีวิตคนในครอบครัวเมียไว้จนได้สละสถานะโสดแค่นั้นเอง ซึ่งถือว่าน่าเสียดายมากที่บทประพันธ์ดี ๆ ต้องมาถูกสร้างแบบตามมีตามเกิดเช่นนี้
มาว่ากันถึงหมา CG กันบ้าง ถามว่าผลลัพธ์ที่ออกมาน่าเกลียดมากมั้ยก็ยังถือว่ารับได้นะครับ คือหากคิดว่ามันเป็นผลงานกำกับอนิเมชันเรื่องใหม่ของ คริส แซนเดอร์ส ผู้กำกับหนังฝึกมังกรอย่าง How to train your dragon สองภาคแรก แถมอาการและความขี้เล่นของเจ้าบั๊กก็แอบทำให้เรานึกถึงเจ้าเขี้ยวกุดไม่น้อย แต่เฮ้ย ! เราผ่านหนังหมาที่เขาเอาหมามาฝึกได้จริงกันมาเป็นร้อยเรื่องแล้ว พอเจอหมาซีจีต่อให้มันได้อารมณ์การ์ตูนแค่ไหนแต่ตอนดูมันตะหงิดตลอดเลยว่าทำไมเอาหมาจริงมาฝึกไม่ได้แถมใช้พร่ำเพรื่อแม้ในฉากแค่หมาจ้องหน้าที่เราเคยได้เห็นน้องหมาตัวจริงมาขายความน่ารัก นี่ต้องมาดูซีจี หมาทำหน้าทะเล้น ๆ ในฉากที่เป็นซีจีแถมคุณภาพยังห่างไกลจากมาตรฐานดิสนีย์อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไร เพราะหนังใช้ซีจีกว่า 70% แต่ทุนสร้างไปจบที่ 150 ล้านเหรียญทำให้เราเห็นจุดบกพร่องของซีจีได้ชัดเจนหลายฉากเลยทีเดียว
จากเหตุผลทั้งหมดก็มาถึงจุดที่ชวนปวดใจที่สุดคือการได้รู้ว่าทีมงานเบื้องหลังคือระดับตำนานทั้งนาน โดยเฉพาะงานภาพของ ยานุตซ์ กามินสกี ตากล้องคู่บุญของสตีเฟน สปีลเบิร์ก ที่ต้องมาถ่ายหนังเพื่อไปใช้ทำซีจีต่อ แถมไปเจองานระดับเสิ่นเจิ้นจนบอกตามตรงว่าเสียดายฝีมือ เอาใครไปถ่ายก็ได้มั้ง ? ส่วนสกอร์ที่ได้ จอห์น โพเวล ที่ติดตามผู้กำกับมาทำสกอร์ให้ก็ไม่ได้น่าจดจำเช่นกัน
สรุปแล้วถือได้ว่า The Call of The Wild กลายเป็นงานที่น่าผิดหวังที่สุด ถ้าอ่านมาทั้งหมดจะสังเกตว่าผมไม่พูดถึงแม้แต่ แฮริสัน ฟอร์ด ที่อุตส่าห์มาโผล่หนังเรื่องนี้หลังไปโดนลูกชายฆ่าตายใน Star Wars The Force Awaken แต่ตัวหนังก็ไม่ได้ส่งเสริมการงานและพื้นฐานอาชีพแต่อย่างใด ส่วนความสนุกของหนังก็ยังไม่ได้มาตรฐานหนังผจญภัยที่เราอยากเห็นในโรงหนังนัก แถมพอเจอโมเมนต์คลีเช่ ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็แทบจะหลับใส่จนอยากให้น้อง Millie ไปร้องใส่หูดิสนีย์หากจะปล่อยวัดหนังฟอกซ์ขนาดนี้ว่า พักก่อน !
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส