unbroken quad

ผลงานกำกับหนังยาวเรื่องที่2 ของแองเจลิน่า โจลี่ ว่าด้วยเรื่องชีวิตซวยบัดซบ สมควรหยิบมาสร้างหนังของ หลุยส์ แซมเพอรินี นักกีฬาโอลิมปิคแข่งวิ่งมาราธอนเชื้อสายอิตาลี หลุยส์โดนเกณฑ์ไปเป็นทหารใน ปี 1941 ได้ทำหน้าที่เป็นพลทิ้งระเบิด เครื่องบินทิ้งระเบิดB24ที่เขาประจำการตกกลางทะเลในปี 1943 ลอยแพอยู่ 47 วัน เรือรบญี่ปุ่นมาเจอช่วยชีวิตไว้ แต่ก็กลายเป็นเชลยศึกในแคมป์ โดนทำงานและทรมานภายในแคมป์อยู่หลายเดือนจนกระทั่งอเมริกาชนะสงคราม

หนังเชลยสงครามนี่จะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยความหดหู่ ดูแล้วค่อนข้างเครียดไปกับการรับรู้ด้านโหดร้ายของสงคราม ความทุกข์ทรมานของเชลยศึกที่โดนปฎิบัติอย่างไร้ศีลธรรม ทั้งการกินการอยู่ หนังจะกดดันความรู้สึกคนดูมากๆ แล้วไปปลดปล่อยแรงๆ ในไคลแมกซ์สุดท้าย เมื่อตัวเอกของเรื่องได้รับอิสรภาพ เราจะรู้สึกดีใจไปกับตัวละครด้วย นั่นคือความรู้สึกร่วมที่หนังประเภทนี้ควรมี แต่โจลี่ ยังไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมตรงนี้ขึ้นมาได้ หนังมีองค์ประกอบที่สมบูรณ์พร้อมแล้วทั้งงานด้านภาพ เสียง และบท ที่ได้ระดับมือพระกาฬในวงการมาร่วมงานทั้งนั้น โรเจอร์ ดีคิน มือถ่ายภาพ 12 ออสการ์ เขียนบทโดยพี่น้องโคเอ็น 4 ออสการ์จาก fargo และ no country for oldmen และ อเล็กซอนด์ เดสแพลท เข้าชิง 8 ออสการ์มาทำดนตรีประกอบให้ แต่ โจลี่ ก็ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากงานภาพ เสียง และบท ได้อย่างสัมฤทธิ์ผลนัก มองเห็นว่าหลายๆ ฉาก อย่างฉากไคลแมกซ์ที่ หลุยส์ ยกท่อนไม้ชูขึ้นเหนือหัวและกรีดร้อง ถูกนำมาใช้ในโปสเตอร์และตัวอย่างหนัง เป็นฉากที่เหมือนกับการประกาศชัยชนะความกล้าแข็งไม่ยอมแพ้แม้จะถูกรังแกจากผู้คุมญี่ปุ่นเป็นที่มาของชื่อเรื่องนั่นเอง ขณะถ่ายทำฉากนี้ มิยาวี อินกับบทของเขามากถึงกับอาเจียนออกมา แต่อารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาบนจอนั้นกลับไม่ถึงไหน ผมเองรู้สึกเฉยๆ มาก หรือฉากที่ หลุยส์ ได้กลับมาสวมเครื่องแบบเต็มยศได้กลับมาเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดอีกครั้ง ก็ถูกเล่าแบบผ่านๆ ไม่ได้เน้นเร้าอารมณ์แต่อย่างใด ทั้งๆที่เป็นอีกฉากที่น่าจะหยิบมาเล่นกับอารมณ์คนดูได้ หลังจากร่วมวิบากกรรมกับหลุยส์ มาถึง 2 ชั่วโมงแล้ว ชัดเจนว่าถ้า unbroken อยู่มือผู้กำกับที่เชี่ยวกว่านี้ กับเรื่องราวบีบคั้นขนาดนี้สมควรที่จะเป็นหนังที่คนดูจะได้เสียน้ำตากันบ้างละ

หนังเกี่ยวกับแคมป์เชลยศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ฮอลลีวู้ดขยันสร้างมาเยอะมากในช่วง 50s-70s เรื่องที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดก็เห็นจะเป็น The Bridge on the River Kwai (1957) เรื่องของเชลยศึกสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่กาญจนบุรี เนี่ยละ หนังยุคนี้ผมไม่ได้ดูเลย แต่ที่ประทับใจก็จะมีบางเรื่องในยุคหลังอย่าง paradise road(1997), hart’s war(2002) และ the great raid(2005) แต่ละเรื่องล้วนกดดัน และรู้สึกดีใจปลอดโปร่งกับอิสรภาพของตัวละครไปด้วยจริง

54823574776f72c507e03f00-24

ตัวละครสำคัญของหนังเชลยศึกคือผู้คุมจอมโหด บทนี้จะเป็นตัวแทนความโหดร้ายจากฝั่งญี่ปุ่น ผู้ที่จะมารับบทนี้จะต้องเล่นให้คนดูเกลียด บทควรจะมีความลึก ให้เห็นด้านที่อ่อนโยน เป็นพ่อ เป็นเพื่อน หรือมีปมในอดีต เป็นโรคจิตเก็บกดแล้วมาปลดปล่อยกับบรรดาเชลยศึก บทสิบเอก วาตานาเบ้ ที่ได้ มิยาวี ร็อคสตาร์ ของญี่ปุ่นมารับบท เป็นบทที่ถูกสั่งให้โหด ปรากฎตัวมาก็โหดตาขวางเลย แล้วก็จ้องเล่นงานอยู่แต่หลุยส์ โหดแบบไร้เหตุผลไม่มีที่ไปที่มา ในฐานะคนดูไม่รู้เลยว่าไอ้นี่เป็นอะไร เกลียดอะไรหลุยส์ ผลที่ได้คือเป็นตัวละครที่คนดูเกลียดแต่ไม่”กลัว” เพราะมิยาวีไม่สามารถสร้างรังสีอำมหิตได้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่นักแสดงตัวร้ายควรจะมี เวลาอยู่ใกล้ัตัวละครไหนแล้วรู้สึกว่าตัวละครนั้นไม่ปลอดภัย เดาอารมณ์มันไม่ถูก

ส่วนหนึ่งที่อารมณ์เหล่านี้ของหนังขาดหายไป น่าจะมาจากเหตุที่ว่าเรื่องราวของหลุยส์นี่มีรายละเอียดเยอะมาก แต่ถูกจำกัดอยู่ในเวลา 2 ชั่วโมง 10 นาที หนังย้อนไปเล่าเรื่องราวของหลุยส์ในวัยเด็ก จากเด็กเกเรเอาทั้งเหล้าและบุหรี่ จนพี่ชายมองเห็นพรสวรรค์ในการวิ่ง เลยผลักดันให้เป็นนักวิ่งจนได้เป็นตัวแทนอเมริกาไปแข่งโอลิมปิค แล้วยังต้องแบ่งเวลาอีกนับชั่วโมงกับเรื่องราววิบากกรรมลอยทะเล 47 วัน เหลือเวลาเล่าเรื่องราวในแคมป์เชลยก็ไม่มากแล้ว คือถ้าจะเล่าเรื่องราวให้ครบถ้วนอารมณ์น่าจะเกิน 3 ชั่วโมงละสตูดิโอผู้สร้างไม่ชอบแน่ๆ เพราะจะได้จำนวนคนดูน้อยลง

ส่วนหนึ่งที่รู้สึกประทับใจและแปลกใจคือสภาพร่างของดารานำอย่าง แจ๊ค โอคอนเนล ผู้รับบท หลุยส์ แซมเพอรินี และ ดอห์มเนล กลีสัน พระเอกจาก about time ทั้งคู่ลอยเรือ 47 วัน จนร่างผอมโกรก หนวดเครารุงรัง แถมยังมีช็อตเปลือยตอนอยู่ในค่ายให้เห็นกันจะๆว่าผอมขนาดไหน ก็ยังแปลกใจนะ ว่านี่ทุ่มเทกันลดจริงหรือว่าใช้ซีจีช่วยเนี่ย,ตัวละครที่ผมประหลาดใจคือดาราอย่าง ไจ คอร์ทนีย์ ที่ขึ้นแท่นพระเอกไปแล้วจาก die hard 5 และ terminator:genisys ก็ยอมมาเล่นเป็นตัวประกอบโผล่หน้ามาแค่ไม่กี่ฉาก

ผมชื่นชมนะกับก้าวที่กล้าของ แองเจลิน่า โจลี่ นะ เธออยู่ในตำแหน่งที่ยังเป็นดาราแม่เหล็ก มีชื่อแปะหัวหนังเรียกคนดูได้อยู่ เรื่องล่าสุด maleficent ก็ทำเงินมหาศาล บทบาทของเธอก็ได้รับเสียงชื่นชมแต่ก็เลือกที่จะหันหลังให้กับงานแสดงแล้วมาเดินเส้นทางผู้กำกับแทน เธอผ่านหนังทุนต่ำมาแค่เรื่องเดียว in the land of blood and honey (2011) ซึ่งก็ไม่ได้เสียงตอบรับที่ดีนัก แต่สตูดิโอต่างก็อ้าแขนต้อนรับเธอในฐานะผู้กำกับซะแล้ว,ตั้งแต่ก่อน unbroken จะเข้าฉาย เธอก็กำกับ by the sea เสร็จไปแล้ว และกำลังจะกำกับ africa ทั้ง2เรื่องมี แบรด พิตต์ รับบทนำ การที่ผู้กำกับมือใหม่มาทำหนังสเกลใหญ่มีรายละเอียดมากขนาดนี้ถือว่าเป็นงานท้าทายอย่างสูง ทำออกมาดีก็ถือว่าเป็นกำไรกลับไป ทำออกมาแย่ก็ยังเข้าใจได้นะว่ามือใหม่ แต่กับผลลัพธ์ที่เห็นก็ไม่ได้แย่นะ หนังมีความสนุกเนื้อหาน่าติดตาม ภาพสวย ฉากต่างๆทำออกมาได้ละเอียด สมจริง หนังทำกำไรให้สตูดิโอพอเป็นกอบเป็นกำ ทุน65ล้าน ทำรายได้ไปแล้ว 159 ล้านเหรียญ ติดใจก็แค่ข้อเดียวว่าเรื่องราวที่น่าสนใจของหนังควรจะได้อารมณ์ร่วมและความประทับใจหลังออกจากโรงได้มากกว่านี้ ถ้าชอบหนังเครียดๆ ดูได้เลยครับ

Play video


 

unbroken-angelina-jolie-louis-zamperini

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ จากหนัง หลุยส์ แซมเพอรินี เสียชีวิตในเดือน กรกฏาคม 2014 ดีใจที่ว่าก่อนตายเขาได้ดู unbroken เวอร์ชั่นตัดต่อหยาบๆ ที่แองเจลิน่า โจลี่ เอาไปเปิดบนแล็ปทอปให้ดูที่โรงพยาบาล