Release Date
03/09/2021
Runtime
134 Minutes
Director
Craig Gillespie
Cast
Emma Stone Emma Thompson
Streaming Service
Disney+Hotstar
Our score
8.8[รีวิว] Disney’s Cruella – ร้าย..เริ่ด..งานโชว์คาริสมาของเอ็มมา สโตน
จุดเด่น
- เอ็มมา สโตน กับ เอ็มมา ธอมป์สัน ประชันฝีมือกันสุดฤทธิ์สุดเดชมาก บันเทิงมาก
- งานคอสตูมดีไซน์คือเกินคำว่าเริ่ด ทั้งสร้างสรรค์และน่าตื่นตะลึง
- หนังทำได้ครบรสทั้งตลก ดรามาและน่าตื่นเต้น
จุดสังเกต
-
ความลงตัวของบทภาพยนตร์
8.0
-
คุณภาพงานสร้าง
9.5
-
คุณภาพนักแสดง
9.5
-
ความบันเทิงตามแนวหนัง
8.5
-
ความคุ้มค่าน่าติดตามชม
8.5
หลังจากเลื่อนกำหนดฉายโรงมาหลายรอบในที่สุดหนังไลฟ์แอ็กชันจากผลงานฮิตของดิสนีย์อย่าง ‘Disney’s Cruella’ ก็ได้ฤกษ์มาลงสตรีมมิงทางดิสนีย์พลัสฮอตสตาร์ (Disney+Hotstar) แล้ว โดยวางกำหนดฉายเปิดตัววันที่ 3 กันยายน 2564 ซึ่งก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของทางดิสนีย์ที่เลือกการฉายผ่านสตรีมมิงในช่วงภาวะโรคระบาดโควิด-19 (COVID-19) แบบนี้เพราะประกาศล่าสุดของทาง ศบค.เองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้โรงภาพยนตร์เปิดให้บริการได้เมื่อไหร่
สำหรับใครที่เป็นสาวกดิสนีย์คงคุ้นเคยกับแอนิเมชันสุดน่ารักอย่าง ‘101 Dalmatians’ ที่ออกฉายตั้งแต่ปี 1961 และดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันในปี 1996 ซึ่งในทุกเวอร์ชันที่ผ่านมาเรามักให้ความสำคัญกับน้องหมาดัลเมเชียนแสนน่ารักและความตลกที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวของตัวร้ายอย่าง ครูเอลลา เดอ วิล (Cruella De Ville) และลูกสมุนทั้งสองโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังความร้ายนี้มีที่มาสุดรันทดเพียงใด ซึ่งจากช่องว่างตรงนี้ก็ทำให้ดิสนีย์ได้ไอเดียสร้างหนังไลฟ์แอ็กชันจากตัวร้ายในคลังแอนิเมชันตัวเองจนเกิดเป็น ‘Disney’s Cruella’ นั่นเอง
ลอนดอนยุค 70s ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงด้านแฟชัน เอสเตลลา (เอ็มมา สโตน-Emma Stone) หญิงสาวผมสองสีผู้สูญเสียแม่ตั้งแต่เด็กได้ออกลักเล็กขโมยน้อยทั่วเมืองกับสองเพื่อนซี้อย่างแจสเปอร์ (โจเอล ฟราย – Joel Fry) และฮอร์เรซ (พอล วอลเทอร์ เฮาเซอร์ Paul Walter Hauser) แม้ความฝันของเธอคือการได้เป็นดีไซน์เนอร์ก็ตาม
แต่แล้วโชคชะตาของเธอก็ผลิกผันจนได้ร่วมงานกับบารอนเนส ฟอน เฮลแมน (เอ็มมา ธอมป์สัน – Emma Thompson) เจ้าแม่ดีไซเนอร์แห่งลอนดอนแต่แล้วงานในฝันก็พลิกผันกลายเป็นความแค้นเมื่อเธอค้นพบว่าบารอนเนสพัวพันกับการตายของคุณแม่ของเธอ เอสเตลลาต้องทิ้งความไร้เดียงสาใส่ความร้ายและอัปความเริ่ดเพื่อหวังทำลายชื่อเสียงบารอนเนสด้วยงานดีไซน์สุดปั่นป่วนและร้อนแรง
ความชาญฉลาดของบทภาพยนตร์โดย ดานา ฟ็อกซ์ (Dana Fox) กับ โทนี แม็คนามารา (Tony McNamara) คือการปูตัวละครให้เอสเตลลาหรือครูเอลลามีความฝันที่จะเป็นดีไซน์เนอร์และการค่อย ๆ ใส่ความร้ายให้คาแรกเตอร์ของเอสเตลลาควบคู่ไปกับการขายงานดีไซน์เสื้อผ้าและโปรดักชันดีไซน์ที่บทได้วางหมากของเกมแก้แค้นนี้ได้อย่างน่าติดตาม
ซึ่งฟ็อกซ์และแม็คนามาราก็อาศัยช่องว่างของข้อมูลที่เราไม่เคยเห็นในฉบับการ์ตูนมาถักทอเรื่องราวได้อย่างครบรสทั้งการต่อสู้เพื่อความฝันในการเป็นดีไซน์เนอร์ ภูมิหลังครอบครัวที่ชวนใจสลายไปจนถึงความสามารถในการดีไซน์ของเธอที่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในการแก้แค้นครั้งนี้ที่นอกจากจะน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว มันยังสื่อถึงยุคสมัยของแฟชันพังก์ร็อกที่เข้ากับความเป็นขบถในตัวเอสเตลลาได้เป็นอย่างดี
หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้คนดูไม่อาจละสายตาจากหนังได้คงหนีไม่พ้นงานคอสตูมดีไซน์เนอร์ (Costume Designer) โดย เจนนี บีแวน (Jenny Beavan) หากไอเดียของฟ็อกซ์และแม็คนามาราอยู่่ในกระดาษ คนที่ทำให้มันออกมาจับต้องได้คงหนีไม่พ้นบีแวนนี่แหละ ตั้งแต่ซีนเปิดตัวครูเอลลาด้วยฉากเผาผ้าคลุมไปจนถึงแฟชันชุดขยะลากยาวที่ทำเอาคนดูอดกรี๊ดตามไม่ได้ ทำให้เห็นเลยว่าออสการ์ปีนี้หากไม่มีชื่อบีแวนเข้าชิงมันคงต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ
แน่นอนว่าแม้บทจะดี แม้งานสร้างจะเนี้ยบแต่หากไม่ได้ผู้กำกับที่เข้าใจในเรื่องและตัวละครคงยากที่หนังจะออกมาดี ดังนั้นการได้ เคร็ก จิลเลสพาย (Craig Gillespie) ที่เคยทำ ‘I, Tonya’ หนังนักสเก็ตน้ำแข็งสุดห้าวมาเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงจากเอสเตลลาสาวน้อยผู้ฝันจะกลายเป็นดีไซน์เนอร์ สู่ครูเอลลาขบถวงการแฟชันผู้คลั่งแค้น ได้อย่างเปี่ยมดราม่าสุดสะเทือนใจ ความตลกที่คนดูคุ้นเคยจากแอนิเมชันไปจนถึงความตื่นตาตื่นใจของฉากโชว์งานดีไซน์ของหนังที่เชื่อว่าหากได้ดูในโรงคงอดปรบมือและกรี้ดตามไม่ได้อย่างแน่นอน
นอกจากงานกำกับจิลเลสพายแล้วเราคงมองข้ามงานการแสดงไม่ได้จริง ๆ แต่ก่อนไปเบอร์ใหญ่เราขอกล่าวสดุดีรุ่นเล็กกันก่อนใครจะเชื่อว่านักแสดงเด็กอย่าง ทิพเพอร์ ไซเฟิร์ต-คลีฟแลนด์ (Tipper Seifert-Cleveland) จะถ่ายทอดความร้ายและความชาญฉลาดได้เป็นอย่างดีรวมถึงซีนดราม่าที่แสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมจนเราเชื่อว่าหากไม่ได้การแสดงของคลีฟแลนด์เป็นตัวโหมโรงเราคงไม่รู้สึกสะเทือนใจกับชะตากรรมของเอสเตลลาเท่านี้ก็เป็นได้
เอาล่ะถึงคราวที่เราจะกล่าวถึง “เอ็มมา” ที่เราจั่วหัวเอาไว้แล้ว แต่ทว่า ‘Disney’s Cruella’ ไม่ได้มีแค่เอ็มมาเดียวแถมยังฟาดฟันกันได้เปรี้ยวเยี่ยวราดขนาดนี้ซึ่งเราไม่ได้หมายถึงเอ็มมาไหนแต่คือ เอ็มมา สโตน (Emma Stone) กับ เอ็มมา ธอมป์สัน (Emma Thompson) นั่นเอง สำหรับสโตนเราคงไม่ต้องกล่าวอีกแล้วว่ากล้องของหนังรักนางแค่ไหน เสน่ห์ทะลุทะลวงได้ทุกซีนทุกฉากที่นางปรากฎอาจพูดได้ว่าทีมงานทุ่มสุดตัวเพื่อให้สโตนโดดเด่นที่สุด
แต่ใช่ว่านางจะใช้เสน่ห์เอาตัวรอดนะครับ ตรงกันข้ามสโตนถ่ายทอดความเจ็บปวดของตัวละครได้เป็นอย่างดีโดยไม่ทิ้งความร้ายของครูเอลลาที่เราคุ้นเคยมาตลอด ส่วนธอมป์สันอีกหนึ่งเอ็มมาของเราก็โชว์ทักษะการแสดงขั้นสูงด้วยซีนที่ต้องแสดงความซับซ้อนทางอารมณ์ทั้งอึ้งในฝีมือเอสเตลลา แต่ต้องรักษาฟอร์มไปจนถึงความภาคภูมิใจแต่ก็อยากจะกำจัดลูกศิษย์ก้นกุฏิของนางได้อย่างสนุกสนานและเปี่ยมสีสันจริง ๆ ที่สำคัญนางเริ่ดมว๊ากกกกกก (บอกแค่นี้)
แม้อ่านมาจะเห็นว่าผู้เขียนดูจะปลาบปลื้มจนแทบไม่เห็นข้อเสียของหนังเลยจนเหมือนลำเอียงซึ่งก็จริงนะครับ (555) เพราะแม้หนังจะดูขายงานดีไซน์จนมองข้ามมิติความเป็นมนุษย์ของเอสเตลลาไปบ้าง หรือขายความตลกปั่นป่วนของแก๊งเพื่อนกึ่งลูกสมุนอย่างแจสเปอร์และฮอร์เรซแบบที่เราคุ้นเคยจากการ์ตูนจนมีแค่มิติเดียว แต่เมื่อดูจากสำเร็จของหนังแล้วก็ทำให้เห็นว่าผู้กำกับอย่างเจลเลสพายตีโจทย์แตกและทำให้ ‘Disney’s Cruella’ เป็นงานที่สามารถเชื่อมโยงกับฉบับการ์ตูนในดวงใจโดยไม่สูญเสียความเฉพาะตัวในฐานะภาพยนตร์แฟชันสุดเริ่ดได้อย่างยอดเยี่ยม
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส