ทุกครั้งที่มีเกมถูกสร้างภาพยนตร์ มักจะมีประเด็นถกเถียงของแฟนเกมที่บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เกมที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์นั้นมักจะไม่สนุกไม่ถูกใจแฟนเกม จนถูกสาปส่งมากมายตั้งแต่อดีต ซึ่งหนึ่งในภาพยนตร์จากเกมที่ถูกสาปส่งจากแฟน ๆ ก็คือภาพยนตร์เรื่อง ‘Dragon Quest Your Story’ ภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง ‘Dragon Quest V’ ที่ถูกเอามารีเมกบ่อยครั้งมาก ๆ เพราะภาคนี้คือหนึ่งในภาคที่มีเนื้อเรื่องดีที่สุดภาคหนึ่งในซีรีส์ที่แฟน ๆ หลงรัก แต่เมื่อภาพยนตร์ออกฉายก็เกิดเสียงแตกขึ้นมาทันถึงความสนุกสมเป็น ‘Dragon Quest’ กับอีกฝ่ายที่เถียงกลับว่า “ใช่มันสนุกแต่มันไม่ใช่ ‘Dragon Quest’ มันคือการเหยียบย่ำจิตวิญญาณของคนเล่นเกม” ซึ่งชาวญี่ปุ่นค่อนข้างเดือดในเรื่องนี้มาก ๆ เรามาวิเคราะห์และทำความเข้าใจในเรื่องนี้กัน ส่วนใครที่ยังไม่เคยดูมาก่อน เนื้อหาในบทความเปิดเผยเนื้อเรื่องในภาพยนตร์อย่างละเอียด ไปดูมาก่อนแล้วมาอ่านคุณจะเข้าใจในจุดนี้ แต่ถ้าเคยดูมาแล้วก็มาหาสาเหตุความไม่ชอบในเรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กัน
คำเตือน. เนื้อหาในบทความมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ Dragon Quest Your Story
ทำความรู้จักซีรีส์เกม Dragon Quest V จิตวิญญาณความรักที่มีต่อเกมซีรีส์นี้ของชาวญี่ปุ่น
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาเรามาทำความรู้จักเกม ‘Dragon Quest V’ ภาคที่คนเล่นเกมทั่วโลกโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นหลงรัก จนถูกเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์ CG เรื่องแรกของซีรีส์ เริ่มจากวันวางจำหน่ายของเกมนี้ที่ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 กันยายน 1992 หรือราว ๆ 29 ปีที่แล้ว เกม ‘Dragon Quest V’ วางจำหน่ายบนเครื่อง ‘Super Famicom’ และถูกเอามารีเมกครั้งแรกบนเครื่อง ‘PlayStation 2’ ในปี 2004 ด้วยกราฟิกแบบ 3D อย่างสวยงาม และถูกเอามารีเมกอีกครั้งบนเครื่อง ‘Nintendo DS’ ในปี 2008 ซึ่งความโดดเด่นในภาคนี้เราจะไม่ได้เล่นเป็นผู้กล้าแบบตัวละครอื่นในซีรีส์ แต่เราจะเป็นพ่อของผู้กล้าที่ออกเดินทางช่วยแม่ที่ถูกราชาปีศาจจับไป แถมด้วยระบบชักชวนมอนสเตอร์มาเป็นพวก ที่เป็นระบบเริ่มต้นของซีรีส์ ‘Dragon Quest Monsters’ ที่เราได้เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ตัวเกมมีระบบแต่งงานที่ต้องเลือกเจ้าสาวเพื่อคลอดลูกมาเป็นผู้กล้า ซึ่งค่าพลังของลูกแฝดรวมถึงพลังเวทมนตร์จะต่างกันตามตัวของแม่ และในฉบับ ‘Nintendo DS’ ได้เพิ่มตัวเลือกเจ้าสาวเป็น 3 คนให้เลือกยากเข้าไปอีก ซึ่งระบบที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจะมีเพียงแค่ ‘Dragon Quest V’ เท่านั้นที่มี ภาคอื่นนับจากนี้ก็ไม่มีระบบแบบนี้อีกเลย นี่ยังไม่พูดถึงเนื้อเรื่องที่มีความลึกซึ้งตัวละครมีปูมหลังน่าค้นหา ไม่แบนราบที่แค่เดินทางไปปราบปีศาจแบบภาคอื่น เรียกว่ามีเอกลักษณ์โดดเด่นมากมายจนชาวญี่ปุ่นหลงรักเกมภาคนี้มาก ๆ รวมถึงในบ้านเราที่ต่างก็ยกให้ ‘Dragon Quest V’ คือภาคต่อที่ดีที่สุดในซีรีส์มาจนถึงตอนนี้
เรื่องย่อ Dragon Quest Your Story
มาที่เรื่องย่อของภาพยนตร์ ‘Dragon Quest Your Story’ ตัวเรื่องจะเริ่มต้นที่ภาพจากเกมบนเครื่อง ‘Super Famicom’ เพื่อเอาใจแฟนเก่าที่เคยเล่นเกมนี้ให้หายคิดถึง ก่อนที่เรื่องราวจะตัดฉากจากในเกมแบบเร็ว ๆ เกี่ยวกับการเดินทางของตัวเอกของเกม (ซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ตัวเอกจะไม่มีชื่อ) ในวัยเด็กที่ได้เจอกับลูกเสือตัวน้อยและได้ลูกแก้วมังกรจากการไปบุกปราสาทต้องสาป ซึ่งมี บิอันกา (Bianca) มาเป็นเพื่อนร่วมทีม ก่อนที่เราจะเจอตัวเองในอนาคตมาขอลูกแก้วในเวลาต่อมา ก่อนจะตัดเข้าสู่เรื่องราวของภาพยนตร์ที่เราจะสูญเสียพ่อจากการต่อสู้กับราชาปีศาจ จนเราถูกจับเป็นแรงงานทาสนานถึง 10 ปีก่อนจะหนีออกมาได้ ซึ่งในภาพยนตร์ได้ตัดเรื่องราวที่ไม่จำเป็นออกไป และใส่เนื้อหาที่ดัดแปลงเพิ่มเติมลงไปได้อย่างลงตัว (เรื่องราวในเกมถูกตัดไปเยอะมาก) ซึ่งแม้แต่แฟนเกมก็ไม่รู้สึกว่าตัวเกมขาดอะไรไป จนเรามีลูกและให้กำเนิดผู้กล้าเพื่อไปปราบราชาปีศาจ ที่แม้แต่คนที่ไม่รู้จักเกมซีรีส์นี้ก็สามารถรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบได้แบบสมบูรณ์
ความประทับในที่มีต่อภาพยนตร์ Dragon Quest Your Story
มาต่อกันที่ความดีงามของภาพยนตร์ ‘Dragon Quest Your Story’ สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมก่อนเลย คือกราฟิกภายในเรื่องที่ทำออกมาได้สวยงาม มีการแสดงสีหน้าท่าทางแบบการ์ตูนญี่ปุ่นที่ไม่แข็งทื่อ ดูแล้วรู้เลยว่าคนสร้างภาพยนตร์ต้องการเอาใจแฟนเกมซีรีส์นี้ขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายความเป็นเกม ‘Dragon Quest’ ทั้งบทเพลงบรรยากาศกลิ่นอายที่หลายคนคิดถึงเรียกว่าใส่มาครบ และตัดส่วนที่ไม่สำคัญพร้อมกับย่อส่วนที่คนไม่ได้เล่นเกมต้องรู้เอาไว้ในช่วงต้นเกม ในรูปแบบของเกมยุค ‘Super Famicom’ ที่เป็นการเอาใจแฟนเกมและให้คนที่ไม่ได้เกมรับรู้เรื่องราวส่วนนี้ไปพร้อม ๆ กัน รวมถึงการตีความตัวเอกของภาพยนตร์ที่มีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไป ที่ไม่ใช่ผู้กล้าสุดแกร่งแต่เขาคือคนธรรมดาที่กลัวตายและไม่อยากแบกสิ่งที่พ่อทิ้งเอาไว้ แต่สุดท้ายโชคชะตาก็กำหนดให้เขาต้องเดินหน้าต่อไป ซึ่งในส่วนนี้ในตัวเกมต้นฉบับแทบไม่ได้ใส่ลงไปให้เรารู้สึกแบบนั้นเลย จะมีเพียงตัวละครคนอื่น ๆ เท่านั้น ที่มาช่วยส่งอารมณ์กับเนื้อเรื่องที่น่าติดตามที่ทำให้คนเล่นเกมประทับใจ แต่สำหรับแฟนเกมอาจจะไม่ค่อยถูกใจกับตัวพระเอกที่ขี้กลัวไม่เก่ง ดูเป็นตัวตลกมากกว่าจะเป็นชายผู้แข็งแกร่งแบบในเกม ซึ่งก็เรื่องนี้ก็แล้วแต่มุมมองของคนเล่นเกม ว่าจะตีความตัวเอกว่าต้องการให้เป็นแบบไหน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทีมพัฒนาเกมจงใจใส่ลงไป เพื่อให้เราคนเล่นตีความตัวเอกในแบบที่เราต้องการ เอาง่าย ๆ ลองไปถามคนที่เล่นเกมนี้ 10 คน ก็จะมีลักษณะนิสัยพระเอกที่ต่างกันตามที่เราคิดตอนเล่น ขณะที่ตัวละครอื่น ๆ ในภาพยนตร์ก็คงลักษณะนิสัยตามในเกมแบบไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามที่แฟน ๆ ชื่นชม
สิ่งที่หายไปและเปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับ
มาถึงตรงนี้ต้องอธิบายสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนเกม แต่มาดูภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมว่า การดัดแปลงเปลี่ยนเนื้อหาของเกมให้เป็นภาพยนตร์นั้น คือสิ่งที่แฟนเกมหลายคนไม่ได้มองว่าผิด และแฟนเกมก็ไม่ได้อยากเห็นทุกอย่างที่เหมือนในเกมแบบ 100% เพราะด้วยความยาวของเกม เนื้อหาที่ไม่สำคัญรวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ หลายอย่างในเกมก็ไม่จำเป็นต้องมีในภาพยนตร์ แต่สิ่งที่แฟนเกมออกมาบ่นกันเกือบทุกเรื่อง นั่นคือการตัดสิ่งสำคัญหรือดัดแปลงเนื้อหาที่เป็นหัวใจหลักของเกมออกไปจนผิดเพี้ยน ซึ่ง ‘Dragon Quest Your Story’ ก็ดัดแปลงเปลี่ยนแปลงจนเพี้ยนไปหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของดาบในตำนานที่คนทั่วไปจะไม่สามารถยกขึ้นยกเว้นผู้กล้าที่ถูกเลือก ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องที่ตัวเอกจะรู้ว่าตนเองไม่ใช่ผู้กล้า นอกจากนี้ก็มีสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อเป้าหมายที่แท้จริงของเขาที่ถูกตัดไป รวมถึงตัวละครหลักที่เป็นลูกสาวฝาแฝดที่หลายคนอยากเห็น ซึ่งเอาจริง ๆ ตัวละครนี้ไม่ต้องมีก็ได้ เพราะเธอคือสิ่งที่ไม่สำคัญกับเนื้อเรื่อง แต่สำหรับแฟนเกมแล้วการขาดตัวละครคนนี้ก็เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป รวมถึงเรื่องราวในตอนเด็กที่รีบเล่าจนเกินไป จนคนที่ไม่ได้เล่นเกมไม่รู้สึกถึงความผูกพันของสองตัวละครเจ้าสาว อย่างบิอันกาและ ฟลอร่า (Flora) ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และบอกว่ารู้จักพระเอกแถมยังชอบเขาตั้งแต่แรกเห็นทั้งที่ไม่ได้เจอกันมา 10 ปี ต่างกับคนเล่นเกมที่รู้เรื่องในจุดนี้ไปแล้ว นอกจากนี้ตัวภาพยนตร์ก็รีบเล่ารีบตัดฉากเกินไป คงเพระตัวเนื้อหาเกมที่ค่อนข้างเยอะ จึงต้องรีบเล่าในเวลาที่จำกัดของภาพยนตร์ จนคนที่ไม่เคยเล่นเกมอาจจะตามไม่ทันในบางส่วน นั่นคือสิ่งที่แฟนเกมและคนที่ไม่เคยเล่นเกมต่างรู้สึกขัดใจ
กลิ่นอายความเป็น Dragon Quest อยู่ครบแต่ทำไมแฟน ๆ ถึงสาปส่ง
เอาจริง ๆ เรื่องราวใน ‘Dragon Quest Your Story’ ไม่มีส่วนไหนต้องติติงหรือต่อว่าเลย ตรงข้ามมันคือภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมแบบเคารพต้นฉบับเอาใจแฟนเกมแบบเต็ม 100% แถมคนที่ไม่รู้จักเกมนี้ก็สามารถสนุกกับเนื้อหาไปพร้อมกัน แต่เมื่อภาพยนตร์ออกฉายกลับมีเสียงต่อต้านไม่ชอบในทางลบออกมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแฟน ๆ ฝั่งชาวญี่ปุ่น
ซึ่งส่วนที่ทุกคนไม่ชอบเป็นเสียงเดียวกันคือช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเรื่อง ที่เฉลยออกมาว่าทุกอย่างเราเห็นทั้งหมดในภาพยนตร์นั้นคือการเล่นเกมบนเครื่องเล่นตัวใหม่ ที่ให้เราไปอยู่ในโลกของเกม ‘Dragon Quest V’ ซึ่งตรงจุดนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นที่แฟน ๆ ไม่ชอบ แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นจริง ๆ มันคือสิ่งที่ตัวร้ายอย่าง ‘Virus’ พูดมากกว่า กับประโยคที่ว่า “โตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะครับ” ที่เหมือนเป็นการตบหน้าคนเล่นเกม ‘Dragon Quest’ ไม่สิ คนเล่นเกมทั้งโลกเลยมากกว่า โดยเป้าหมายของคนที่สร้างเจ้าไวรัสขึ้นมานั้นก็เพราะ “พวกเขาไม่ชอบคนเล่นเกม เขามองว่ามันไร้สาระที่เราจะเอาเวลาไปเสียกับการเล่นเกมที่ไม่ได้ประโยชน์อะไร” เรียกว่าลากคนเล่นเกมทั่วโลกมาตบหน้ารัว ๆ กลางทางม้าลาย แล้วปล่อยให้รถชนซ้ำเลยทีเดียว แถมตัวเอกที่ควรเป็นตัวแทนคนเล่นเกม ก็ตอบสิ่งที่คนเล่นเกมไม่พอใจออกมาเสียอย่างนั้น โดยคำตอบนั้นพูดแค่ว่า “ฉันมีความสุขและไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งการเดินทางการพบทุกคนไม่ใช่เรื่องเสียเปล่าแต่มันคือความจริง” ก่อนจะใช้กำลังเอาชนะทั้งที่เถียงไม่ขึ้น เรียกว่าตอบไม่ถูกใจคนเล่นเกม จนหลายคนบ่นว่าถ้าตอบแบบนี้สู้ให้เนื้อเรื่องมันเป็นแบบในเกมเสียจะดีกว่า ซึ่งนี่คือจุดผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่คนสร้างภาพยนตร์ลืมคิดไป
ความรู้สึกของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อ Dragon Quest Your Story
เรามาดูกันดีกว่าว่าชาวญี่ปุ่นส่วนมากคิดยังไงกับเรื่อง ‘Dragon Quest Your Story’ โดยอ้างอิงบทวิจารณ์ต่าง ๆ ของชาวญี่ปุ่นมาให้อ่านกัน เริ่มจากคำชมที่ส่วนมากจะชื่นชมเรื่องของงานภาพตัวละคร สิ่งที่เกมแสดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่บางคนก็ไม่ชอบการเปลี่ยนเนื้อหาของเกมหลายส่วนที่ถูกตัดออกไป แต่ส่วนมากจะชื่นชมเสียมากกว่า ซึ่งส่วนที่ทุกคนติติงและพูดเป็นเสียงกันก็ คือความผิดหวังที่ตัวภาพยนตร์หยามความรู้สึกคนเล่นเกม อย่างความเห็นหนึ่งบอกว่า “ฉันคิดว่ามันเป็นการดูหมิ่นไม่เฉพาะสำหรับ ‘Dragon Quest’ เท่านั้น แต่สำหรับวัฒนธรรมของเกมทั้งหมด” หรืออีกความเห็นที่บอกว่า “15 นาทีสุดท้ายนั้นคือสิ่งที่ผู้กำกับและทีมพัฒนาต้องการบอกคนเล่นเกมนี้ว่ามันไร้สาระ ดังนั้นคุณไม่ควรทำสิ่งที่ไร้ความหมายนี้” อีกความเห็นก็บอกว่า “ฉันกับลูกชายชื่นชอบ ‘Dragon Quest’ พอลูกไปดูภาพยนตร์ ลูกหันมาถามฉันว่าการเล่นเกมมันไร้สาระมากเลยหรอ ฉันที่หลงรักเกมนี้ก็ตอบคำถามที่ให้ลูกสบายใจไม่ได้” กับอีกหลายคำวิจารณ์ที่พูดไปทำนองเดียวกันเกือบทั้งหมด ซึ่งล้วนแต่ผิดหวังในช่วงท้ายของภาพยนตร์
สรุปแล้วสิ่งที่แฟน Dragon Quest ต้องการคืออะไร
มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องสรุปสิ่งที่คนเล่นเกมต้องการจากภาพยนตร์ว่าต้องการอะไร เพราะสิ่งที่ ‘Dragon Quest Your Story’ สื่อออกมาตลอดทั้งเรื่องนั้นคือสิ่งที่แฟนเกมต้องการอยากเห็น ก่อนที่ช่วงท้ายสิ่งที่ทางทีมสร้างภาพยนตร์ต้องการสื่อให้คนที่ได้ดู คือความรู้สึกประทับใจในสิ่งที่พระเอกตะโกนออกไป “ว่าการเล่นเกมของเขาไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ทุกการเดินทางของเขานั้นคือเรื่องจริง มันคือความสนุกที่คนไม่เคยเล่นเกมไม่เข้าใจ” แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ไวรัสพูดกับมีน้ำหนักมากกว่า และไปตอกย้ำย่ำยีจิตใจคนเล่นเกมอย่างรุนแรง ขณะที่ตัวเอกของเกมก็ตอบไปแบบไม่มีน้ำหนักเหตุผลที่มาเถียงสิ่งที่ไวรัสพูดได้ จนเด็กที่ได้ไปดูต่างรู้สึกผิดหวังแทนที่จะอิ่มเอมตอนออกมาจากโรงภาพยนตร์ ซึ่งถ้าใครที่ชอบเล่นเกมไม่ว่าจะยุคไหนสมัยใด เราก็มักจะถูกมองจากคนที่ไม่ได้เล่นเกมว่าเป็นคนไม่เอาไหน การเล่นเกมมันคือสิ่งไร้สาระไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากความสนุก ซึ่งลึก ๆ แล้วคนเล่นเกมอย่างเราทุกคนก็ทราบเรื่องนี้ดี และเราก็แทบไม่มีเหตุดี ๆ ไปตอบคนที่ว่าแบบนั้นเลย แค่พูดว่าเกมมันสนุกได้ซึมซับเนื้อเรื่องระบบเกมก็คงไม่เพียงพอ หรือจะด่าว่าแล้วคนดูภาพยนตร์ได้อะไรก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะราคาของเกมกับค่าตั๋วไปชมภาพยนตร์มันต่างกับราคาเกมเราจึงเถียงในจุดนี้ได้ยาก และยิ่งภาพยนตร์จากเกมที่เรารักมาด่าซ้ำแบบนี้ ยิ่งเป็นการตอกหมุดจี้จุดเดิมลงไปอีกจึงไม่แปลกที่คนรัก ‘Dragon Quest’ จะผิดหวังกับภาพยนตร์เรื่องนี้
ก็จบกันไปแล้วกับการย้อนดูเรื่องราว ‘Dragon Quest Your Story’ ที่หลายคนอาจจะลืมไป ซึ่งใครที่ยังไม่ได้ดูก็อยากให้ไปหามาชมกัน หรือใครที่เคยดูไปแล้วก็แนะนำให้หามาดูอีกครั้ง เพื่อซึมซับเรื่องราวเนื้อหาที่ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อ โดยเฉพาะช่วง 10 นาทีสุดท้ายที่เป็นประเด็น คุณรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ภาพยนตร์บอกเราก็มาพูดคุยกันได้ เพราะไม่ว่าคุณจะมีมุมมองแบบไหน คุณจะเป็นคนเล่นเกมหรือไม่เล่นเกมก็ไม่มีถูกหรือผิด ทุกคนสามารถออกความเห็นได้ แค่เราไม่ควรเอาสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไปต่อว่าคนอื่นที่เขาชอบว่าไร้สาระ มันเสียมารยาทและทำร้ายความรู้สึกผู้อื่นโดยไม่จำเป็นฝากเอาไว้ให้คิด
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส