เชื่อว่าหลาย ๆ คนยังจำความมันของ Taken กันได้ดี หนังแอ็กชันที่ทำให้ เลียม นีสัน กลายมาเป็นพระเอกนักบู๊เอาเมื่อวัย 56 ปี เมื่ออดีตมือสังหาร CIA ต้องเลือดขึ้นหน้าเมื่อลูกสาวสุดที่รักโดนแก๊งมาเฟียลักพาตัวไป ทำให้เกิดวลีที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้จากคำพูดของไบรอัน มิลล์ พระเอกของเรื่องประกาศตามล้างตามเช็ดวายร้ายทุกตัว

“ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใคร ฉันไม่รู้ว่าแกต้องการอะไร ฉันจะตามล่าพวกแก ฉันจะหาพวกแกให้เจอ แล้วฆ่าพวกแกซะ”

ในวันนี้ก็มีเรื่องราวในชีวิตจริงที่คล้าย ๆ กับพล็อตหนัง Taken อย่างที่เกริ่นมา แต่มันจะรู้สึกประหลาดใจน้อยกว่านี้มาก ถ้าผู้ที่ออกตามล่าวายร้ายเหล่านี้ไม่ใช่คุณป้าวัย 56 ปี ซึ่งเป็นแม่บ้านธรรมดาไม่ได้มีทักษะการต่อสู้ หรือเป็นอดีต CIA อย่างในหนังเลย

รู้จักกับเมือง ซาน เฟอร์นานโด

เมืองซาน เฟอร์นานโด ภาพจาก The New York Times

ต้องขออธิบายถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลยของชาวเม็กซิโกให้ได้รับทราบกันก่อน เม็กซิโกเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้อำนาจมืดของแก๊งมาเฟียมาตั้งแต่ยุค 80s ผู้คนต่างเกรงกลัวบารมีของแก๊งมาเฟียที่สามารถจับผู้คนไปทรมานหรือฆ่าปิดปากก็ได้ ธุรกิจหลักของบรรดาแก๊งเหล่านี้คือการค้ายาและส่งยาไปยังสหรัฐฯ ยังมีธุรกิจลักลอบส่งคนเข้าสหรัฐฯ อีกด้วย ธุรกิจย่อยก็เช่นการเก็บค่าคุ้มครองจากชุมชน ทำไมแก๊งมาเฟียถึงได้มีอำนาจมากมายเพียงนี้ เพราะพวกมันมีเส้นสายไปถึงระดับนักการเมืองและรัฐบาล นั่นแปลว่าบรรดาแก๊งมีอำนาจครอบคลุมไปทั่วทั้งประเทศ

ทั้งประเทศเม็กซิโก มีด้วยกัน 4 แก๊งใหญ่ แบ่งพื้นที่การปกครองกันอย่างเด่นชัด (เขียนเองยังสับสนเลย นี่เรื่องจริงหรือนิยายเนี่ย) แก๊ง Sinaloa ปกครองพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือ แก๊ง The Jalisco New Generation (CJNG) ปกครองพื้นที่ฝั่งตะวันตก ส่วนแก๊ง The Gulf Cartel และแก๊ง The Los Zetas แบ่งพื้นที่กันทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านมาจนทุกวันนี้ ชีวิตผู้คนในเม็กซิโกก็ยังคงอยู่ภายใต้เงามืดของบรรดาแก๊งมาเฟียเหล่านี้ แล้วแต่ว่าชีวิตใครจะดวงซวยวันไหนก็ตกเป็นเหยื่อของบรรดาแก๊งมาเฟียเหล่านี้

เรื่องราวที่กลายเป็นตำนานของคุณป้ามิเรียม โรดริเกซ นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2014 เป็นปีแห่งความมืดมนของเมืองซาน เฟอร์นานโด เพราะเมืองอยู่ในพื้นที่ที่แก๊ง The Gulf Cartel และแก๊ง the Los Zetas กำลังแย่งชิงอาณาเขตปกครองกันอยู่ บรรดาชาวแก๊งห้ำหั่นเอาชีวิตกันไม่เว้นแต่ละวัน ภาพศพชาวแก๊งเกลื่อนถนนกลายเป็นภาพปกติที่ผู้คนเห็นกันชินตา ถ้าวันไหนตายน้อยกว่า 20 คน สื่อก็ไม่สนใจจะทำข่าวแล้ว สงครามชาวแก๊งสร้างความเดือดร้อนให้กับชีวิตความป็นอยู่ของชาวบ้านอย่างมาก ร้านรวงต้องปิดทำการเก็บตัวกันเงียบเพื่อป้องกันร้านเสียหายและเลี่ยงการโดนลูกหลง ส่วนที่เลวร้ายสุดแล้วมาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเล่าก็คือ หนึ่งในวิธีการสุดเลวร้ายของแก๊งมาเฟียที่ใช้หาทุนสำรองมาทำสงครามก็คือจับชาวบ้านมาเรียกค่าไถ่

ถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่

ร้าน Rodeo Boots ของป้ามิเรียม ภาพจาก The New York Times

ในวันที่ 23 มกราคม 2014 ก็เป็นวันซวยที่สุดของครอบครัวโรดริเกซ คุณป้ามิเรียม วัย 56 เธอเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าเพื่อเปิดร้านขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์คาวบอย ชื่อว่า Rodeo Boots คาเร็น ลูกสาวคนเล็กวัย 20 ปี รับหน้าที่ดูแลร้านนี้ทุกวันหลังเลิกเรียน เพราะมิเรียมผู้เป็นแม่ต้องหารายได้เพิ่มด้วยการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กในเท็กซัส ส่วนลุยส์พี่ชายคนโตทนกับสภาพเลวร้ายของเมืองซาน เฟอร์นานโด ไม่ไหว ย้ายไปอยู่เมืองอื่นแล้ว ในเย็นวันนั้นขณะที่คาเร็นขับรถพิกอัปของเธอมุ่งหน้ามาที่ร้าน ก็มีรถพิกอัป 2 คันขับมาขนาบข้างซ้ายขวา มีชายฉกรรจ์ลงมาจากรถจ่อปืนเข้าหาเธอ แล้วเบียดตัวขึ้นมาอยู่บนรถกับเธอด้วย พวกมันบังคับให้เธอขับรถมาที่บ้านของเธอเอง เมื่อเข้ามาในบ้านได้ พวกมันก็มัดแล้วปิดปากเธอซะ ให้เธอนอนคว่ำลงกับพื้น ไม่ได้มีการระบุรายละเอียดว่าพวกแก๊งพาเธอมาที่บ้านเพื่อจุดประสงค์อะไร แต่ระหว่างที่ทุกคนอยู่ในบ้านนั้น ลุงของคาเร็นก็มาเคาะประตูบ้าน กลายเป็นวันซวยของคุณลุงที่ต้องกลายเป็นเหยื่ออีกราย พวกมันจับเขามามัดอีกรายแล้วทั้งหมดก็พากันขึ้นรถขับออกจากบ้านไป ไม่นานจากนั้นแก๊งมาเฟียก็ปล่อยตัวลุงออกมา แต่เก็บตัวคาเร็นไว้

แก๊งที่ลักพาตัวคาเร็นไปก็คือ the Los Zetas ซึ่งเป้าหมายก็คือเงินเพียงอย่างเดียวที่จะเอาไปเป็นทุนในการทำสงครามระหว่างแก๊ง ซึ่งแก๊งก็ไม่รอช้า ติดต่อหาป้ามิเรียมทันทีขอเงินค่าไถ่ตัวคาเร็น ไม่ได้เปิดเผยจำนวนแต่ทางครอบครัวซึ่งไม่ได้ร่ำรวยก็ต้องไปกู้เงินธนาคารมามอบให้กับแก๊ง พ่อของคาเร็นเอาเงินใส่ถุงไปวางไว้ยังจุดที่แก๊งมาเฟียระบุ แล้วก็ไปรอยังจุดนัดหมายอีกแห่งที่แก๊งมาเฟียบอกว่าจะเอาตัวคาเร็นมาส่ง แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครโผล่มา ทางครอบครัวจึงรู้ตัวแล้วว่าโดนหลอก การโทรเรียกเงินค่าไถ่ยังตามมาอีกหลายครั้ง 2000 เหรียญบ้าง บางครั้งก็แค่ 500 เหรียญ ทางครอบครัวก็หาเงินไปมอบให้ทุกครั้ง แม้รู้ว่าสุดท้ายก็โดนหลอกอีกอยู่ดี

ร้าน El Junior ที่ป้ามิเรียมนัดเจอกับซามา ภาพจาก The New York Times

แต่ป้ามิเรียมก็ไม่ได้ถอดใจ ยังคงเสาะหาวิธีที่จะพาตัวคาเร็นกลับมาให้ได้ เธอติดต่อหาสมาชิกแก๊ง the Los Zetas รายหนึ่งที่อยู่ละแวกบ้าน ป้าเองก็รู้สึกประหลาดใจพอควรเมื่อมาเฟียรายนี้ตกลงว่าจะมาพบป้าตามนัดหมายที่ร้านอาหาร El Junior เมื่อมาเฟียรายนี้ปรากฏตัว ป้ามิเรียมก็ออกปากอ้อนวอนเขาทันทีให้ช่วยปล่อยตัวคาเร็น แรกทีเดียวมาเฟียผู้นี้ให้ข้อมูลว่าคาเร็นไม่อยู่กับแก๊ง the Los Zetas แต่สันดานมาเฟียก็ไม่ทิ้งลาย เขาอาสาว่าจะช่วยตามหาคาเร็นให้ ถ้าป้ามิเรียมจ่ายค่าจ้างให้เขา 2,000 เหรียญ ซึ่งป้าก็ตกลงทันที ระหว่างที่สนทนา มีเสียงเรียกเข้าผ่านวิทยุสื่อสารของมาเฟียคนนี้อยู่หลายครั้ง ซึ่งป้ามิเรียมก็แอบเงี่ยหูฟัง ทำให้รู้ว่ามาเฟียคนนี้ชื่อว่า “ซามา” และเขาคือจุดเริ่มต้นเกมไล่ล่าของป้ามิเรียม

เป็นไปตามคาด หลังจากป้ามิเรียมจ่ายเงินค่าจ้างให้กับซามาไป ผ่านไปสัปดาห์เดียวก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้แล้ว แต่ทางแก๊งมาเฟียยังคงติดต่อมาเรียกเงินค่าไถ่อีก บอกว่า

“ครั้งนี้ขออีกแค่ 500 เหรียญ”

ป้ามิเรียมคาดว่าครั้งนี้ก็คงโดนหลอกอีกเช่นเคย แต่ก็ยังจ่ายเงินไปตามที่ขอมา ทุกครั้งที่แก๊งติดต่อมาเรียกเงินค่าไถ่ ก็มักจะมีข่าวความคืบหน้ากับตัวเหยื่อมาบอกเสมอ อ้างว่าเหยื่อยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็สัญญาว่าจะปล่อยเหยื่อ เหมือนกับการต่อความหวังให้กับบรรดาญาติอยู่เสมอ

เริ่มภารกิจตามล่า

จากวิบากกรรมของครอบครัวขยายให้เกิดความบาดหมางระหว่างป้ามิเรียมกับสามี ส่งผลทั้งคู่ต้องแยกกันอยู่ ป้ามิเรียมออกจากบ้านมาอาศัยอยู่กับอซาเลียลูกสาวคนโต หลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ แก๊งมาเฟียก็ยังคงติดต่อมาเรียกเงินค่าไถ่อีก ซึ่งป้ามิเรียมก็จ่ายไป แล้วเธอก็ตัดสินใจว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะยอมเชื่อคำจากแก๊งมาเฟีย หลังจ่ายเงินค่าไถ่ครั้งสุดท้ายไปได้ 1 สัปดาห์ เช้าวันหนึ่งป้ามิเรียมเดินมาเปรยกับอซาเลียว่า เธอทำใจแล้วล่ะว่าคาเร็นไม่น่าจะมีชีวิตอยู่แล้ว จากนี้เธอจะออกตามหาไอ้พวกแก๊งมาเฟียที่ลักพาตัวคาเร็นไป จะไม่หยุดจนกว่าจะเจอไอ้ตัวคนที่เอาตัวคาเร็นไป เธอจะตามหาพวกมันทีละคนไปจนกว่าพวกมันหรือเธอจะตายไปก่อนกัน อซาเลียก็ได้แต่ปลอบแม่ให้ใจเย็นลง แต่เธอก็ยอมรับว่าหลังจากวันนั้นเธอสังเกตได้ว่า…แม่ดูเปลี่ยนไป

บริเวณสี่แยก ที่คาเร็นโดนลักพาตัวไป ภาพจาก The New York Times

กระบวนการตามล่าของป้ามิเรียมเริ่มจากการสอบถามรายละเอียดจากคุณลุงที่โดนจับไปพร้อมคาเร็น เธอให้ลุงเล่าทุกอย่างเท่าที่จำได้เพื่อเป็นเบาะแสในการสืบสาวราวเรื่องต่อไป ข้อมูลที่ได้จากลุงส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งจากการสืบค้นผ่านอินเทอร์เน็ต ป้ามิเรียมเริ่มจากเฟซบุ๊กของคาเร็น และขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ เธอกลายเป็นนักสืบแห่งโลกออนไลน์ไปแล้ว เบาะแสแรกที่เธอเจอคือภาพหนึ่งบนเฟซบุ๊กของใครสักคนที่แท็กชื่อ “ซามา” เธอจำเขาได้ทันที เพราะเคยเจอตัวจริงมาแล้ว ที่ยืนแนบข้างดูสนิทสนมกับซามา คือหญิงวัยรุ่นที่ใส่เครื่องแบบพนักงานร้านไอศกรีมยี่ห้อหนึ่ง อยู่ในเมือง Ciudad Victoria ห่างจากบ้านของป้ามิเรียมออกไปราว 2 ชั่วโมง

แม้ไม่รู้ว่าจะได้เบาะแสอะไรจากหญิงคนนี้หรือไม่ แต่ป้ามิเรียมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ป้าก็เลยไปวนเวียนแถว ๆ ร้านไอศกรีมนี้ จนเจอหญิงเป้าหมายรายนี้ป้าเฝ้าสังเกตจนรู้เวลาทำงานของเธอ หลังจากเฝ้าแถวร้านอยู่เป็นสัปดาห์ ซามาก็ปรากฏตัวออกมา ป้ามิเรียมรอจนหญิงเป้าหมายเลิกงานแล้วทั้งคู่ก็เดินทางกลับบ้าน เข้าทางป้ามิเรียมแล้วสิ ป้าแอบย่องตามไปจนรู้ว่าบ้านของทั้งคู่อยู่ที่ไหน ป้าไม่รอช้าจดบันทึกที่อยู่ลงสมุดไว้

แผนการขั้นต่อไป ป้าต้องได้ข้อมูลจากสองคนนี้มากกว่านี้ จากนี้ป้าเริ่มสวมวิญญาณสาวแกร่งอย่างที่เราเห็นในหนังแอ็กชันไปแล้ว ป้าตัดผม ย้อมผมสีแดงจนไม่เหลือเค้าเดิม เพราะว่าป้ามิเรียมเคยนั่งคุยกับซามามาแล้ว ป้าต้องแปลงโฉมให้ซามาจำไม่ได้ ป้าไปรื้อเอาเครื่องแบบเก่าสมัยที่เคยทำงานกระทรวงสาธารณสุขมาใส่ และบัตรพนักงานที่เธอยังเก็บไว้ก็มีประโยชน์ในวันนี้ คุณป้ามิเรียมในชุดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกเดินถนนพร้อมกับเอกสารปลอม ๆ ทำทีว่ามาสำรวจความเห็นประชาชนเกี่ยวกับบริการสาธารณสุข เธอสัมภาษณ์ข้อมูลจากบรรดาเพื่อนบ้านซามาไปทีละหลัง แล้วก็แอบถามถึงข้อมูลของซามาซึ่งเธอนำมาปะติดปะต่อกันก็ได้รายละเอียดมาพอสมควร

ป้ามิเรียม โรดริเกซ หลังจากย้อมผมแดง

เมื่อคิดว่าได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพียงพอ เธอก็นำข้อมูลนั้นไปแจ้งความกับหน่วยงานของรัฐทั้งระดับท้องถิ่น และระดับรัฐ แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครสนใจเรื่องราวร้องทุกข์ของเธอ แต่ก็ยังดีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเห็นใจคุณป้ามิเรียม เข้ามาพูดคุยกับเธอและเสนอตัวว่าจะช่วยเป็นธุระให้

“เมื่อเธอหยิบแฟ้มทั้งหมดมาวางบนโต๊ะ ทำเอาผมตกใจมาก ไม่เคยเห็นใครรวบรวมอะไรได้ละเอียดยิบขนาดนี้มาก่อนเลย ข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่คุณป้ารวบรวมมาด้วยตัวเองคนเดียว มันช่างเหลือเชื่อมาก”
เจ้าหน้าที่ตำรวจใจดีกล่าวถึงป้ามิเรียม แต่เขาขอสงวนชื่อไม่เปิดเผยกับสื่อ
“ป้าแกไปติดต่อกับหน่วยงานในทุกระดับชั้นเลย แต่พวกเขาก็ไม่แยแสป้า แถมยังปิดประตูใส่อีกด้วย การที่ผมมาช่วยป้านั้นก็นับว่าเป็นเกียรติต่ออาชีพของผมมาก”

แล้วตำรวจใจดีก็ช่วยป้ามิเรียมได้จริง เขาวิ่งเต้นให้จนทางการออกหมายจับ “ซามา” แต่เจ้าซามาก็ช่างเป็นนกรู้ ไหวตัวทันหนีออกนอกเมืองไปเสียก่อน ทำเอาป้ามิเรียมฉุนขาด แต่ป้าก็ไม่ถอดใจสาบานว่าจะพยายามตามตัวไอ้ซามาให้จงได้ ป้ามิเรียมแอบถ่ายรูปซามาไว้เยอะมาก เธอโพสต์รูปของซามาและสมาชิกแก๊งรายอื่น ๆ ที่ต้องสงสัยลงโซเชียลเต็มไปหมด เผื่อว่าใครพบเห็นแล้วจะได้แจ้งเบาะแส

ซามา

ภาพของ ซามา ที่ป้ามิเรียมเก็บไว้ในข้อมูลสืบค้น ภาพจาก The New York Times

แล้วก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญมาก ในวันที่ 15 กันยายน 2014 เป็นวันชาติของเม็กซิโก ชาวเม็กซิกันออกมาเฉลิมฉลองกันบนถนน ลุยส์ลูกชายคนโตของป้ามิเรียมเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ในเมือง Ciudad Victoria เย็นวันนั้นเขากำลังจะปิดร้านเพื่อไปร่วมงานเฉลิมฉลอง แต่เขามีลูกค้ารายสุดท้ายอยู่ในร้านกำลังเลือกดูหมวก แล้วลุยส์ก็รู้สึกเอะใจกับลูกค้ารายนี้ เขาแอบพินิจพิจารณาดูอีกครั้งแล้วก็มั่นใจว่ามันคือ “ซามา” นั่นเอง ลุยส์แอบโทรบอกแม่ แล้วก็รีบตาซามาไป ตอนนั้นเขาโทรแจ้งตำรวจไว้ด้วย แต่เขาก็ต้องสะกดรอยตามไปซามาไปด้วยเพื่อไม่ให้คลาดสายตา ในที่สุดตำรวจก็มารวบตัวซามาได้ทันที่พลาซ่าใจกลางเมือง ซามางอแงเป็นเด็ก ๆ ไปเลย ตอนที่โดนตำรวจรวบตัวได้ เขาทั้งถีบขาทั้งกรีดร้อง โวยวายว่าตำรวจทำกับเขาแบบนี้ได้ไง เขาเป็นโรคหัวใจนะ

ระหว่างที่โดนสอบปากคำ ซามาก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกมาก เขายอมเผยชื่อและที่อยู่ของคนที่น่าจะรู้รายละเอียดในการลักพาตัวคาเร็น นายคนนี้ก็คือ คริสเตียน โฮเซ ซาปาตา กอนซาเลซ เป็นเด็กหนุ่มอายุแค่ 18 ปี ซึ่งรอบนี้ตำรวจก็ไม่รอช้า พอได้ชื่อและที่อยู่ก็ตามไปรวบตัวมาได้ทันที

เจ้าหนูคริสเตียนตัวสั่นงันงกมากระหว่างที่โดนสอบปากคำ ป้ามิเรียมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในการสอบปากคำ แต่เธอนั่งรอผลอยู่หน้าห้อง คริสเตียนเริ่มงอแงเป็นเด็ก
“ผมหิวแล้วนะครับ”

เสียงเรียกร้องของคริสเตียนได้ยินไปถึงป้ามิเรียม แม้ว่าไอ้หนูนี่จะเป็นผู้ต้องสงสัยในการหายตัวไปของคาเร็น แต่ป้ามิเรียมก็ยังมีความสงสารเอ็นดูต่อคริสเตียน เธอไปซื้อไก่ทอดกับโค้กกระป๋องมาให้คริสเตียนกิน สร้างความฉงนให้กับเจ้าหน้าที่ว่าป้าจะไปใจดีกับมันทำไม ป้าก็ตอบกลับตำรวจทันที
“ยังไงเค้าก็ยังเป็นเด็กอยู่ มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเขาเคยไปทำอะไรมา แล้วฉันก็ยังมีความเป็นแม่คนอยู่ด้วย”

ความเมตตาที่ป้ามิเรียมมีต่อคริสเตียนไม่เสียเปล่าเลย เจ้าหนูซาบซึ้งที่ป้าดีต่อเขา ก็เลยเผยข้อมูลทุกอย่างออกมา
“ผมจะพาพวกคุณไปที่ไร่ มันเป็นที่ที่ชาวแก๊งใช้ฆ่าคนที่พวกเขาจับตัวมาได้ แล้วก็ฝังพวกเขาอยู่ที่นั่นล่ะ”

(อ่านต่อหน้า 2 เลย)

ไร่สังหาร

ทางเข้าไร่เป็นถนนลูกรังอันยาวไกล ไปจนถึงตัวไร่เก่าที่ถูกทิ้งรกร้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจนำรถแทรกเตอร์มาขุดดิน ตามตำแหน่งที่ถูกระบุว่าเป็นหลุมฝังศพเหยื่อ มีบ้านที่ถูกสร้างด้วยอิฐปลูกทิ้งไว้ในบริเวณไร่ บนผนังนอกตัวบ้านมองเห็นรูกระสุนจำนวนมากชัดเจน เป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากเหตุการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว ในวันที่ทหารเม็กซิกันเข้ากวาดล้างแก๊ง the Los Zetas สมาชิกแก๊ง 6 คนถูกยิงตายคาที่ในไร่นี้

ลุยส์ ในไร่รกร้างที่เจอชิ้นส่วนของคาเร็น ภาพจาก The New York Times

ป้ามิเรียมได้รับอนุญาตให้เข้ามาในไร่นี้ด้วย เธอเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบ แต่ภาพที่เธอพบเห็นก็ยิ่งสร้างความขนลุก บวกกับความหวาดกลัวว่าจะเจอร่างหรือข้าวของของคาเร็นอยู่ที่นี่ ใจหนึ่งก็อยากจะเห็นให้จบสิ้นไป อีกใจก็ยังรับไม่ได้ที่จะต้องรับรู้ว่าลูกสาวผ่านช่วงเวลาทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ บนโต๊ะในบ้านยังมองเห็นรอยเลือดกระเซ็นอยู่ชัดเจน มีกระดูกมนุษย์หลายชิ้นวางอยู่อยู่บนโต๊ะ บางชิ้นก็มองเห็นร่องรอยของมีคม นอกบ้านก็เต็มไปด้วยบรรยากาศชวนสยอง เมื่อมองห็นเชือกหลายเส้นห้อยลงมาจากกิ่งไม้ปลายร่างของเชือกเป็นบ่วงที่เคยห้อยคอมนุษย์

แล้วร่างของป้ามิเรียมก็เย็นเฉียบขึ้นมาฉับพลันเมื่อเธอพบกับข้าวของสัมภาระกองใหญ่ ที่เคยเป็นของบรรดาเหยื่อ แล้วชาวแก๊งหยิบมาโยนรวม ๆ กันไว้ บนยอดกองสัมภาระนั้น ป้ามิเรียมมองเห็นผ้าพันคอของคาเร็น และเบาะรองนั่งที่เคยอยู่ในรถของคาเร็นอยู่ในกองนั้นด้วย แม้ว่าจะเห็นหลักฐานแน่ชัดว่าคาเร็นเคยถูกนำตัวมาที่นี่ แต่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็บอกกับป้ามิเรียมว่า ไม่พบร่องรอยของคาเร็นอยู่ในจำนวนกว่า 10 ศพที่ขุดขึ้นมาจากหลุม แต่ถึงตอนนี้ปามิเรียมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าคาเร็นจะต้องอยู่ในหนึ่งของศพจำนวนนั้นแล้วล่ะ ป้าจึงยืนกรานให้เจ้าหน้าที่ทำการชันสูตรใหม่ให้ดี ๆ ผ่านไป 1 ปี หน่วยงานชันสูตรก็ส่งผลมาให้ป้ามิเรียมว่า


“พบชิ้นส่วนกระดูกโคนขา ที่พิสูจน์แน่ชัดแล้วว่าเป็นของคาเร็น”

เป็นข้อยืนยันที่พาป้ามิเรียมพ้นจากคลางแคลงเสียที ว่าคาเร็นจบชีวิตที่ไร่แห่งนี้นี่เอง แต่ภารกิจของป้ามิเรียมยังไม่จบ ป้าจะต้องเอาพวกทรชนเหล่านี้เข้าคุกให้หมด

กระบวนการตามล่าของป้าสร้างความขุ่นเคืองให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่พอดู เพราะยิ่งวันเวลาผ่านไป อารมณ์ของป้ามิเรียมก็ฉุนเฉียวมากขึ้น เจ้าหน้าที่ก็พยายามอดทนอดกลั้นกับป้าอย่างมาก เพราะป้ามิเรียมทั้งใช้ภาษาพูดที่รุนแรงหยาบคาย แล้วชอบเอะอะชวนตีอยู่บ่อยครั้ง

“ก็เข้าใจป้าอยู่หรอก แต่ไม่ใช่ทุกคนจะทนเธอได้กันหรอกนะ”
กลอเรีย การ์ซา เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐกล่าว

เอลเวีย นังนกต่อ

ขากลับออกจากไร่รกร้างนั้น ตรงบริเวณหัวมุมที่จะเลี้ยวออกจากถนนลูกรัง มีร้านขายบาร์บีคิวตั้งอยู่ร้านหนึ่ง ป้ามิเรียมจำได้ว่าเธอเคยมากินอาหารที่ร้านนี้กับอซาเลียลูกสาวคนโต ในวันที่ 2 หลังจากคาเร็นหายตัวไป เธอจำภาพในวันนั้นได้ชัดเจน ว่าเธอได้เจอกับ เอลเวีย ยูลิเซีย เบแทนคอร์ต เด็กสาวที่อยู่ละแวกบ้านเดียวกัน ก็มานั่งกินอาหารอยู่ในร้านนี้ด้วย เธอยังไปทักมายเอลเวียอยู่เลย แล้วก็ถามเอลเวียเหมือนกับที่ถามทุกคนว่า ทราบข่าวคราวของคาเร็นบ้างไหม? ซึ่งเอลเวียก็ปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นอะไรทั้งสิ้น แต่ป้ามิเรียมรู้สึกได้ว่าเอลเวียน่าจะมีอะไรปิดบังเธอ

พอวันนี้ป้ามิเรียมขับผ่านร้านนี้อีกครั้ง เธอพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว แล้วก็สันนิษฐานว่า เอลเวียนี่น่าจะมีส่วนรู้เห็นอะไรกับแก๊ง น่าจะเป็นสายที่คอยมาดูลาดเลาเผื่อว่าตำรวจจะผ่านมาทางนี้ เพราะร้านนี้อยู่หัวถนนต้นทางเข้าไร่พอดี คิดได้อย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ป้ามิเรียมบันดาลโทสะขึ้นมาทันที เพราะเธอนั้นรู้จักเอลเวียมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย เธอรู้สึกสงสารและเอ็นดูเอลเวีย เพราะเห็นว่าแม่ก็เป็นโสเภณีในซ่องที่อยู่แถวบ้าน เธอยังเคยเอาเสื้อผ้าเก่าของคาเร็นไปให้เอลเวียอยู่บ่อยครั้ง

ตอนนี้ป้าปักใจแล้วว่าเอลเวียจะต้องมีส่วนรู้เห็นอย่างแน่นอน เธอรีบบึ่งรถกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ตรงไปรื้อค้นข้อมูลที่เธอรวบรวมไว้ทันที แล้วเธอก็พบหลักฐานว่าเอลเวียนั้นคบหากับสมาชิกแก๊ง the Los Zetas คนหนึ่ง และเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าจับตัวคาเร็นไป แต่ไอ้หนุ่มคนนี้ตอนนี้ติดคุกอยู่ในคดีอื่น

เป้าหมายต่อไปของป้ามิเรียม ก็คือเอลเวียนี่ล่ะ แผนการของป้าที่ป้าถนัดนักหนาก็คือเฝ้าซุ่มเก็บข้อมูล ป้ามิเรียมไปซุ่มอยู่หน้าคุกอยู่เป็นสัปดาห์ แล้วเอลเวียก็โผล่มาตามคาด เธอมาเยี่ยมคนรักที่คุก ป้ามิเรียมรีบแจ้งตำรวจทันที เอลเวียโดนรวบตัว ตำรวจสอบปากคำถึงความเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวคาเร็น แล้วก็ได้ความว่าเธอสมรู้ร่วมคิดด้วยจริง บางครั้งที่สมาชิกแก๊งโทรเรียกเงินค่าไถ่กับป้ามิเรียมนั้น ก็โทรมาจากบ้านของเธอเอง

หลังจากได้ตัวเอลเวียแล้ว ป้ามิเรียมก็เริ่มไล่ล่าเป้าหมายต่อไปเรื่อย ๆ รายต่อไปเป็นอดีตพ่อค้าขายดอกไม้ ก่อนจะไปเข้าร่วมเป็นสมาชิกแก๊ง the Los Zetas และเป็นหนึ่งในกลุ่มที่จับคาเร็นไป ในวันนี้เจ้านี่ก็กลับมาขายดอกกุหลาบบนถนนอีกครั้ง

คนขายดอกไม้

เมื่อวันเวลาผ่านไป ป้าได้ตัวเหล่าสมาชิกแก๊งที่อยู่ในรายชื่อของป้ามากขึ้น แต่ความแค้นของป้าก็ไม่ได้ทุเลาลงไปเลย มาถึงพ่อค้าขายดอกไม้นี่ ป้ากลัวจะหลุดรอดเงื้อมมือไปได้ เมื่อเจอตำแหน่งเป้าหมายแล้ว ป้ารีบกลับบ้านมาเปลี่ยนชุด ปลอมแปลงตัวเองอีกครั้ง ป้าสวมหมวกเบสบอลกดกระบังหมวกให้ลงต่ำปิดบังใบหน้า รอบนี้ป้าได้หาปืนพกมาป้องกันตัวเองแล้ว ป้าหยิบปืนใส่กระเป๋าสะพาย มุ่งหน้ากลับไปที่สะพานที่พ่อค้าดอกไม้ขายของประจำอยู่ แต่วันนี้เขาเปลี่ยนมาขายแว่นกันแดดแทน ทุกครั้งป้าจะแจ้งเบาะแสแล้วรอให้ตำรวจมารวบตัวเป้าหมาย แต่ครั้งนี้ป้าตั้งใจจะรวบตัวคนร้ายเสียเอง นั่นเป็นสาเหตุให้ป้ารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อสะกดความรู้สึกตื่นเต้นของตัวเองซะ ป้าค่อย ๆ เดินเข้าไปประชิดเป้าหมาย แต่อาจจะด้วยทีท่าพิรุธของป้านั่นแหละ เป้าหมายเลยมองเห็นตัวป้าเสียก่อน บวกกับผมสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของป้า ทำให้เป้าหมายจำป้าได้แล้ววิ่งหนีทันที

เจ้าวายร้ายเลือกเส้นทางหนีเป็นตรอกแคบ ๆ เพราะเชื่อว่าทางเส้นทางวิบากแบบนี้ ป้าวัย 56 ไม่น่าจะไล่กวดเขาได้ทันหรอก แต่ผิดคาดป้าคว้าคอเสื้อพ่อค้าดอกไม้ไว้ได้ ทำเอาทั้งคู่เสียหลักล้มลงแล้วกอดรัดกันอยู่บนพื้นถนน ป้ามิเรียมสู้แรงไม่ไหวตัดสินใจใช้เครื่องทุ่นแรงที่เตรียมมา จ่อปืนเข้าใส่หลังวายร้าย
“ถ้าแกยังจะคิดหนีอีกล่ะก็ ฉันจะยิงซะเดี๋ยวเนี้ย”
ป้ามิเรียมต้องนั่งจ่อปืนใส่พ่อค้าดอกไม้อยู่เป็นชั่วโมง กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาถึงแล้วรับตัวไปเข้าคุก

เป้าหมายต่อไปของป้าก็มีทั้งคนขับแท็กซี่ คนส่งแก๊ส เซลส์ขายรถ คนเลี้ยงเด็ก ทั้งหมดนั้นป้าสามารถชี้เป้าให้ตำรวจได้ ผ่านพ้นไปแล้ว 3 ปีที่ป้าดำเนินภารกิจไล่ล่าเป้าหมายเพื่อชำระแค้นให้คาเร็น แล้วก็มาถึงคิวของ เอ็นริเก โยเอล รูบิโอ ฟลอเรส รายนี้พิเศษตรงที่ว่ากลายเป็นลูกวัดในโบสถ์คริสเตียน

รายนี้ป้ามาตามล่าที่อัลดามา เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรแค่ 13,xxx คน ป้ามิเรียมเริ่มต้นด้วยการแวะไปสอบถามข้อมูลจากคุณย่าของเอ็นริเก ซึ่งย่าก็บ่นให้ฟังว่า
ไอ้หลานชายคนนี้ชอบหาเรื่องเดือดร้อนมาให้อยู่เสมอ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วนะที่เอ็นริเกหันหน้าเข้าหาโบสถ์”
ป้ามิเรียมก็ไม่รอช้าตามไปที่โบสถ์ แล้วก็เจอเอ็นริเกอยู่ที่นั่น เธอแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมารวบตัวถึงในโบสถ์ทันที ทำเอาเอ็นริเกงงเป็นไก่ตาแตก ว่าผ่านมา 3 ปีแล้ว เขายังหนีไม่รอดอีกหรือ บรรดาญาติ ๆ ของเอ็นริเกกรูกันมาที่โบสถ์ ต่างช่วยกันร้องขอความเห็นใจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเอ็นริเกกลับตัวเป็นคนดีแล้ว แล้วยังอ้อนวอนป้ามิเรียมที่เป็นเจ้าทุกข์ ทำเอาป้ามิเรียมอารมณ์ขึ้น ตวาดกลับทันที

“แล้วความเห็นใจของมันน่ะอยู่ตรงไหน ตอนที่มันฆ่าลูกสาวฉันน่ะ”

นับจนถึง เเอ็นริเก โยเอล รูบิโอ ฟลอเรส ก็เป็นรายที่ 10 แล้ว ที่ป้ามิเรียมยัดตัวเข้าคุก ถึงตอนนี้ชื่อเสียงของป้าดังกระฉ่อนไปทั่วเม็กซิโกแล้ว ป้าเองก็เริ่มหวั่น ๆ อยู่เหมือนกัน ว่าป้าน่าจะสร้างความแค้นเคืองให้กับแก๊ง the Los Zetas พอดู แล้วป้าเองก็อาจจะโดนหมายหัวจากแก๊งแล้วล่ะ

การที่เธอสามารถลากตัวบรรดาผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฏหมายได้นั้น ก็เหมือนกับการปลดเปลื้องความเจ็บช้ำและความแค้น แต่กระนั้นมันก็ต้องแลกด้วยราคาค่างวดแสนแพง วีรกรรมของป้ามิเรียมสามารถสร้างความตื่นกลัวให้กับบรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดที่ยังลอยนวลอยู่บางราย เธอเริ่มมีบทบาทต่อกระบวนการทางกฏหมายในซาน เฟอร์นานโด แล้ว แต่นั่นก็ทำเอาเพื่อน ๆ ต้องสะกิดเพื่อเตือนสติป้ามิเรียมด้วย ว่าเธอเริ่มจะล้ำเส้นไปมากแล้ว

“ฉันไม่สนใจหรอกถ้าพวกมันจะมาฆ่าฉัน เพราะสำหรับฉัน ความรู้สึกฉันตายไปตั้งแต่วันที่คาเร็นถูกฆ่าแล้ว ฉันต้องจบเรื่องนี้ให้ได้ ฉันจะต้องตามล่าทุกคนที่มันเคยทำร้ายลูกสาวฉัน”

ภัยร้ายคืบคลานใกล้ตัว

สิ่งที่ป้ามิเรียมคาดการณ์ไว้ก็มาถึงในเดือนมีนาคม 2017 นักโทษ 24 คนหลบหนีได้จากทัณฑสถานในเมือง Ciudad Victoria ซึ่งเป็นเรือนจำที่คุมขังบรรดานักโทษที่ป้ามิเรียมตามล่ามาทั้งหมด ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่กลัว แต่เอาเข้าจริงป้าก็เริ่มวิตกแล้วล่ะว่าพวกนี้จะกลับมาล้างแค้นป้า เธอจึงติดต่อหน่วยงานของรัฐให้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาอารักขาเธอด้วย ตำรวจก็มาจริงผลัดกันลาดตระเวนทั้งหน้าบ้านและที่ทำงานของป้ามิเรียม

ภาพของป้ามิเรียม แขวนอยู่ภายในบ้านของเธอ ภาพจาก The New York Times

แม้ว่าจะหวาด ๆ ว่าจะถูกแก๊งมาเฟียกลับมาแก้แค้น แต่ป้าก็ยังไม่ยุติภารกิจไล่ล่าทรชน เพราะยังเหลือรายสุดท้ายในรายชื่อที่ป้าหมายหัวไว้ ในเดือนเมษายน ป้าไปจอดรถซุ่มดักเป้าหมาย รายนี้เป็นหญิงสาว เธอออกจากแก๊ง the Los Zetas แล้วมาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในเมือง Ciudad Victoria ป้ามิเรียมมาจอดรถดักรอหน้าบ้านครอบครัวที่หญิงสาวคนนี้มาเลี้ยงเด็กให้ ป้ามิเรียมโคตรมีความอดทนในการเฝ้ารอมาก ถึงขนาดยอมฉี่ลงในถ้วยระหว่างที่เฝ้ารอในรถมืด ๆ แต่รอบนี้ก็ยังดีที่ลุยส์ ลูกชายคนโตมาร่วมปฏิบัติการด้วย แม่รอในรถ ส่วนลูกชายไปยืนดักรอตรงมุมถนน เผื่อว่าเป้าหมายไหวตัวทันแล้ววิ่งหนี ลุยส์ก็จะไล่กวด แล้วก็เป็นไปตามคาด พอหญิงเป้าหมายออกมาจากบ้านที่เธอไปเลี้ยงเด็ก เจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงตัวจะเข้าจับกุม เธอก็วิ่งหนี ป้ามิเรียมก็รีบพุ่งตัวออกจากรถกะว่าจะไปดักทางเธอ แต่ป้าก็อายุมากแล้วเลยหกล้มระหว่างที่ไล่กวด ทำให้กระดูกเท้าร้าว ตั้งแต่นั้นป้าก็ต้องเข้าเฝือกเท้า ไปไหนมาไหนด้วยไม้เท้าพยุงตัว

ภารกิจสุดท้าย

วันที่ 10 พฤษภาคม 2017 เป็นวันแม่แห่งชาติของเม็กซิโก เวลา 22:21 น. ป้ามิเรียมขับรถกลับบ้าน ตอนนี้สามีกลับมาอยู่กับเธอแล้วในบ้านสีส้มเล็ก ๆ หลังเดิมที่เคยอยู่กับคาเร็น ป้ามิเรียมจอดรถที่หน้าบ้านเหมือนเช่นเคย ขณะที่ป้าก้าวออกจากรถแล้วจะเดินเข้าบ้านอย่างกระย่องกระแย่งเพราะต้องใช้ไม้เท้า ตอนนั้นเอง ก็มีรถพิกอัปนิสสันก็แล่นแบบช้า ๆ เงียบ ๆ มาจอดด้านหลังป้า บนรถมีโจทก์เก่าของป้าหลายคนที่พากันแหกคุกออกมา พวกมันสาดกระสุนเข้าใส่ร่างป้ามิเรียม ป้าสิ้นใจทันทีร่างล้มลงก่อนจะถึงประตูเข้าบ้าน สามีของป้านั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงปืนก็รีบออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นร่างของป้ามิเรียมนอนจมกองเลือด มือของป้าล้วงอยู่ในกระเป๋าสะพาย ในลักษณะที่กำลังจะคว้าปืนออกมาสู้กับมือสังหารพวกนั้น ตำรวจมายังที่เกิดเหตุ นับรอยแผลได้ว่าป้าถูกยิงถึง 13 นัด

ในวันที่ป้ามิเรียมถูกยิงตาย ป้าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอีกต่อไป การตายของป้าเป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้หน่วยงานยุติธรรมนิ่งเฉยไปเหมือนรายอื่น ๆ ไมได้ เพราะคดีเป็นที่สนใจของประชาชน ก็เลยต้องรีบโชว์ผลงานกัน ภายในเวลา 2-3 เดือนหลังจากป้ามิเรียมถูกยิง เจ้าหน้าที่ก็รวบตัวมือสังหารได้ 2 ราย ส่วนอีกรายตายไปแล้วจากเหตุยิงกันระหว่างชาวแก๊ง

ส่วนตัวบงการผู้ออกคำสั่งสังหารเธอ ก็เก็บตัวเงียบไม่เคลื่อนไหว ส่วนลุยส์ผู้เป็นลูกชายก็แสดงเจตนาชัดเจนว่าจะไม่ตามล่าผู้ออกคำสั่งสังหารแม่ เขาอ้างว่าเขาได้บทเรียนจากการกระทำของแม่แล้ว
“ผมจะไม่ทำพลาดเหมือนที่แม่ผมทำ”

สุสานของป้ามิเรียม โรดริเกซ ภาพจาก The New York Times

การตายของป้ามิเรียม นอกจากจะเร่งให้ทางการตามล่าตัวมือสังหารแล้ว ยังส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตื่นตัวกับการรื้อคดีลักพาตัวและฆาตกรรมคาเร็นกลับมาอีกครั้ง มีการเอาข้อมูลที่ป้ามิเรียมรวบรวมไว้มาเป็นเบาะแสในการสืบสวนคดีต่อ ทำให้ตำรวจตามจับผู้ต้องสงสัยเพิ่มได้อีก 1 ราย รายนี้เป็นหญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้ลงมือทุบตีและทรมานคาเร็นระหว่างที่ถูกคุมขังตัว เป็นหญิงที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เธอมัดมือคาเร็นที่ถูกห้อยตัวไว้กับเพดาน จากนั้นก็ต่อยเธอเหมือนกับกระสอบทราย หลังจากก่อคดีกับคาเร็นแล้ว เธอก็ออกจากแก๊ง ย้ายมาอยู่เมืองเวลาครูซ หารายได้ด้วยการขับแท็กซี่มาเลี้ยงลูกชายที่ยังเล็ก ชื่อของเธอก็ยังอยู่ในข้อมูลรายชื่อผู้ต้องสงสัยที่ป้ามิเรียมได้เคยรวบรวมไว้ แต่ยังไม่มีเบาะแสเพียงพอในวันนั้น

วีรกรรมของป้ามิเรียมทำให้เมือง ซาน เฟอร์นานโด สงบสุขได้ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ การต่อสู้ของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวเมือง ทางสภาเมืองเลยทำป้ายบรอนซ์สลักชื่อของป้ามาติดตั้งที่สวนสาธารณะใจกลางเมืองเพื่อเป็นการสดุดีให้กับวีรกรรมอันกล้าหาญของป้ามิเรียม โรดริเกซ

อ่านแล้วรู้สึกว่าประเทศไทยน่าอยู่ขึ้นเป็นกองเลยครับ

อัปเดต : เรื่องราวของคุณป้าล่า 10 ทรชน กลายเป็นหนังตามคาด บลัมเฮาส์ชนะเลิศการประมูล

อ้างอิง

อ้างอิง