จำนวน 9 ตอน ตอนละ 60 นาที
ออกอากาศครบทุกตอนแล้ว
Our score
9.0[รีวิวซีรีส์] First Love : รักแรก จากเพลงฮิตยุค 90s สู่ซีรีส์น้ำตารินเคล้าหลายนัยและอารมณ์เหนือคาด
จุดเด่น
- นักแสดงแสดงถึงทั้งสองวัย เนียนและเร้าอารมณ์ให้เชื่อตามได้ไม่ยาก
- โปรดักชันสวย คุณภาพงานสร้างสูงมาก การเลือกใช้โทนสีและองค์ประกอบต่าง ๆ ล้วนมีความหมายแทรก
- เก็บเรื่องราวที่เป็นรายละเอียดและแง่มุมต่าง ๆ ของเรื่องได้ละเอียดสุด ๆ
- ไม่ได้เล่าแค่เรื่องความรักของหนุ่มสาว แต่ยังมีมิติความรักความสัมพันธ์ในแบบอื่นแทรกแบบเนียน ๆ ด้วย
- จังหวะการเล่าเรื่องไปด้วยกันกับสารที่ต้องการสื่อเป็นขั้นเป็นตอน ไต่ระดับตามเพลงได้ดีมาก
- ลงท้ายสามารถเก็บอารมณ์ของเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจได้ แบบที่ชวนกลับไปฟัง First Love แบบวนลูปเลยละ
จุดสังเกต
- ช่วงต้นไปถึงกลางเรื่องเดินเรื่องค่อนข้างช้า ชวนอึดอัด แต่ลงท้ายแล้วช่วยให้เรื่องครบองค์อยู่นะ
- ตอนเปิดเรื่องต้องตั้งสติเยอะหน่อย เพราะเล่าสลับไปมา ถ้าไม่ตั้งใจดูดี ๆ ก็จะหลุดและสับสนตัวละครได้ง่าย
- หากใครคาดหวังจะฟังเพลงอุทาดะเยอะ ๆ เรื่องนี้คงไม่ใช่ทางของคุณ เพราะมีน้อยมาก เพราะโฟกัสที่เพลง First Love จริง ๆ
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
9.5
-
คุณภาพงานสร้าง
10.0
-
ประเด็น
9.5
-
การลำดับและการดำเนินเรื่อง
8.5
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.5
You are always gonna be my love
いつか誰かとまた恋に落ちても
I’ll remember to love
You taught me how
แค่ทำนองขึ้น เนื้อเสียงและถ้อยคำอันคุ้นเคยลอยเข้าสู่โสตประสาท ก็เชื่อว่าชาวสามสิบอัปทุกคนต้องมีชะงักหยุดฟังรำลึกความหลังอะไรกันบ้าง นอกจากเพลงนี้จะดังเป็นพลุแตกส่งผลให้ อุทาดะ ฮิคารุ (Utada Hikaru) นักร้องเจ้าของผลงานมากความสามารถวัย 16 (อุทาดะเขียนและร้องตอน 15 แต่เพลงเปิดตัวตอนเธออายุ 16) มีแฟนคลับกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว (สำหรับเราเอง อุทาดะก็ถือเป็นนักร้องญี่ปุ่นคนแรก ๆ ที่เราคลั่งไคล้ตามอุดหนุนผลงานเลยแหละ) บทเพลงนี้ยังมีอิทธิพลทำให้เกิดซีรีส์ในอีกหลายปีให้หลังอย่าง First Love ซีรีส์ชื่อเดียวกันกับเพลงอีกด้วย และซีรีส์ที่ว่าก็เพิ่งลง Netflix ไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี่เอง
แล้วสาวกที่เคยฟังเพลงนี้จนร้องได้ขึ้นใจอย่างเราจะไม่ไปตำได้อย่างไรกันล่ะ ทันทีที่พอปลีกเวลาได้ เราก็รีบรับชมทันที
First Love หรือ รักแรก ในชื่อไทย เป็นซีรีส์ความยาว 9 ตอน สร้างขึ้นในโอกาสครบรอบ 20 ปีของเพลงชื่อเดียวกันของอุทาดะที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1999 และด้วยความที่เพลงมีเนื้อหาเล่าถึงความรักครั้งแรกที่หวานเศร้าติดตรึงใจ แน่นอนว่าคนดูอย่างเราก็ย่อมคาดหวังอารมณ์นี้จากซีรีส์เช่นกัน
จูบสุดท้ายของเรา มีรสชาติเหมือนบุหรี่ เป็นกลิ่นที่ทั้งขมและแสนเศร้า
เมื่อเปิดเรื่องมา เราจะเจอท่อนเริ่มของเพลงนี้วนเวียนไปมาพร้อมกับความรักที่ค่อย ๆ ก่อตัวและบานสะพรั่งของสองหนุ่มสาว ยูเอะ โนะกุจิ (รับบทโดย ฮิคาริ มิตสึชิมะ) สาวสวยใสซื่อกับ ฮารุมิจิ นามิกิ (รับบทโดย ทาเครุ ซาโตะ) ชายหนุ่มสุดเฟี้ยวมาดนักเลงที่มาพร้อมรอยยิ้มสดใส ตัดสลับกับเรื่องราวในอนาคตของทั้งคู่ที่ดูมืนมนเปล่าเปลี่ยวและไม่ได้อยู่ด้วยกัน ชวนให้เราสงสัยว่าความรักแสนหวานและเปี่ยมไปด้วยพลังนั้นแปรเปลี่ยนเป็นการลาจากและความเศร้าได้อย่างไร
แม้ฟังดูเป็นพลอตพื้น ๆ ที่รักแรกของเราอาจไม่ใช่รักในปัจจุบัน แต่การเปิดเรื่องและจังหวะเล่าตัดสลับนั้นมีพลังในแง่ชวนให้เราติดตามอย่างมาก (มากจริง ๆ เพราะหลุดไปฉากนึงคือจะงงเลยว่าอดีตหรือปัจจุบันกันแน่ 555 แต่ไม่ต้องห่วงนะ พอผ่านตอนแรกไป คราวนี้จะไม่ค่อยหลงแล้วละ)
เนื้อหาในช่วงเริ่มที่เน้นไปยังภาพอดีตที่แสนสดใส ยิ่งขยายความสงสัยให้คนดูที่รับสารเรียบ ๆ ว่า ‘ปัจจุบันทั้งคู่ไม่ได้คบกัน’ และ ‘ไม่ได้สดใส’ เหมือนอดีต เกิดความใคร่รู้ว่าเรื่องราวนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่เหมือนจะเน้นเยอะไปหน่อย หากคุณไม่ใช่สายนิยมภาพยนตร์ญี่ปุ่น ก็อาจเกิดความรู้สึกว่า เล่าเรื่องยืดไปหน่อยหรือเปล่านะ / เมื่อไหร่เรื่องจะคืบสักทีได้ล่ะ / เฉลยมาสักทีเถอะ ขึ้นมาได้ แต่ถ้าคิดกันตามมาตรฐานของภาพยนตร์ญี่ปุ่นโดยทั่วไปละก็ เราว่าช่วงต้นนี้ก็ยังไม่ถึงกับเรียกได้ว่าอืดอาด และถือว่าค่อนข้างทำได้ดีเลยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับช่วงกลางของซีรีส์
หากดูไปแล้วรู้สึกว่าเรื่องเดินช้าอย่างที่เราได้เตือนเอาไว้ ก็ขอให้ท่องไว้ว่างานญี่ปุ่นมักมีความเนี้ยบเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ แต่ทุกรายละเอียดนั้นมีความจำเป็นต่อการปะติดปะต่อ ทำให้เรื่องราวที่ดำเนินต่อไป ค่อย ๆ ฉายแสงความชัดเจนของ ‘รสจูบสุดท้ายที่เหมือนบุหรี่’ ว่าเป็นอย่างไร และช่วยไต่ระดับความซึมลึกกินใจตามท่วงทำนองของเพลง ให้เป็นไปได้ดีในท่อนต่อไปนั่นเอง
ในเวลานี้ของวันพรุ่งนี้ เธอจะไปอยู่ที่ใด และเธอจะคิดถึงใครกันนะ
การเล่าภาพอดีตที่เฝ้าฝันถึงอนาคตสลับกับความจริงที่เกิดในอนาคตนั้น ถือเป็นความเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จริง แต่ที่เรื่องราวต่าง ๆ คงจะตัดไปมาให้เนียนไม่ได้เลยถ้าหากปราศจากนักแสดงที่มากความสามารถ สำหรับนักแสดงหลักพระเอกในยุคปัจจุบันนั้น เราต่างก็เคยเห็นผลงานเป็นที่ประจักษ์ของทั้งคู่กันมาอยู่แล้ว (ทาเครุ ซาโต จาก มาสค์ไรเดอร์เดนโอ, บันทึกน้ำตารัก 8 ปี, เคนชิน ซามูไร เอ็กซ์ และภาคต่อของภาพยนตร์ ฯลฯ มิตสึชิมะ ฮิคาริ จาก สมุดโน้ตกระชากวิญญาณ (Death Note) และ ลิขิตรัก นักส่อง กกน. )
แต่สำหรับนักแสดงที่เล่นได้ดีเหนือคาดและส่งผลต่อเรื่องอย่างมากนั้นก็คือยูเอะ (รับบทโดย ริคาโกะ ยากิ) และฮารุมิจิ (รับบทโดย ไทเซย์ คิโดะ) ในวัยเยาว์นั่นเอง ถ้าพูดถึงความเหมือนของหน้าตา แม้จะทั้งคู่จะไม่เหมือนเป๊ะกับร่างในอนาคตที่แสดงโดยอีกสองนักแสดงนำ และถึงแม้บางช่วงของเรื่องจะไม่มีเวลากำกับชัดเจน และเล่าตัดไปมา แต่เราก็ยังดูออกได้ว่าทั้งคู่คือคน ๆ เดียวกัน นี่คืออดีตและนั่นคือปัจจุบัน ถือว่าทีมงานแคสต์มาได้ดีมาก ๆ
(อ่านต่อหน้า 2 คลิกด้านล่างเลย)
ทั้งนักแสดงยามวัยรุ่น และยามโตเป็นผู้ใหญ่ต่างทำหน้าที่สะท้อนตัวตนของกันและกันได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสามารถแสดงอินเนอร์ของตัวละครร่วมกันได้อย่างน่าชื่มชม และสำหรับเรานี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดของซีรีส์นี้เลยก็ว่าได้ นับเป็นการถ่ายทอดเรื่องราว ‘ในเวลานี้ของวันพรุ่งนี้’ ของทั้งสองตัวละครได้อย่างเนียนกลืนสุด ๆ เลยทีเดียว
เธอจะเป็นคนที่ฉันรักเสมอไป ถึงแม้ว่าวันใดวันหนึ่ง ฉันจะไปตกหลุมรักใครอีกก็ตาม
นอกจากการเล่าเรื่องราวของทั้งสอง ซีรีส์นี้ยังครอบคลุมไปยังตัวละครประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวพัน และชวนให้เราขบคิดถึงการตัดสินใจของตัวละครหลักอย่างถี่ถ้วนมากกว่าเดิม ทำให้เราเห็นใจทั้งคู่จนทำให้อินตามได้อย่างไม่รู้ตัว และในขณะเดียวกันนั้นเราก็เห็นใจตัวละครประกอบอื่น ๆ ไปด้วยเช่นกัน
อย่างการผูกเรื่องไปเล่าถึงครอบครัวของทั้งสองฝั่ง เรื่องราวของคนรักใหม่ของพระนาง หรือเรื่องราวของรุ่นลูกก็นับว่าเป็นทั้งสีสัน ช่วยทำให้เราเห็นใจคนที่มาทีหลังมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาพสะท้อนให้เราเข้าใจเรื่องราวระหว่างทั้งสองคนได้เฉียบคมขึ้นไปด้วย บางช่วงบางตอนก็ชวนให้เราหวนคิดถึงซีรีส์ญี่ปุ่นแนวเพิ่มพลังใจดี ๆ ในอดีต เช่น คุณหมอหน้าใสหัวใจนักสู้ (Docter Ume) เลยทีเดียว
นอกจากสื่อสารเล่าเรื่องกับคนดูแล้ว รายละเอียดเหล่านี้ยังสะท้อนความรู้สึกนึกถึงและจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นที่เน้นการเคารพและให้เกียรติคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ในระดับลึกซึ้ง รวมทั้งยังเก็บทุกรายละเอียดและใส่สัญญะต่าง ๆ มาอย่างเต็มแมกซ์ ทั้งสีเสื้อผ้าพระนางในแต่ละช่วง อีเวนต์ดูดวงอังคารใกล้โลกที่สุดในรอบ 15 ปี เหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหว เหตุการณ์ทางการเมือง ฯลฯ ที่มีประโยชน์ทั้งแง่สื่ออารมณ์และสื่อความหมายเชิงลึก ทั้งยังล้อไปกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่าง ๆ เรียกได้ว่าถ้าคนดูแบบปกติก็จะรู้สึกเนียนโยงนั่นนี่กลืนกันไป ช่วยให้อินและเข้าใจบริบทของตัวละครไปอีก คนดูแบบเก็บรายละเอียดก็ดูได้เพลิน และลุ้นตามได้ไม่เบื่อ พอถึงจังหวะที่มีอะไรส่งสัญญาณมาบอกก็เข้าล็อกเป๊ะ ดูแล้วก็ตบเข่าฉาด ๆ สนุกดีเหมือนกัน (เช่น ตัวเราเองที่อินกับเรื่องดวงดาวและอวกาศอยู่แล้ว เลยยิ่งอินได้ง่าย เข้าถึงความโรแมนซ์ชวนเหงาได้ไวกว่าเดิม …และไหน ๆ แล้ว ดาวอังคารใกล้โลกของปีนี้จะตรงกับวันที่ 1 ธ.ค.นี้นะ ดูซีรีส์จบแล้วไปดูดาวอังคารต่อ หรือดูดาวอังคารแล้วมาดูซีรีส์ก็ช่วยให้อินได้มากกว่าเดิมอีก ลองไปติดตามกันนะครัช)
แม้จะใส่นั่นนี่มาเต็ม จนเรื่องช่วงต้นและกลางเรื่องอาจจะอืดไปบ้าง แต่เพราะผู้สร้างคงต้องการทั้งเอาใจผู้ดูในยุคใหม่ และยุคที่อินตามเพลง First Love ของอุทาดะ เราจึงรู้สึกได้ว่ามีผสมการเล่าในสไตล์เกาหลีที่เร็วขึ้น ขึ้นต้นลงจบแบบชวนตามแบบมากขึ้นอยู่พอควร (แต่อย่างที่บอกไม่ใช่สายญี่ปุ่นอาจจะรู้สึกว่าเฉื่อยไปหน่อยก็ได้ อันนี้ที่เราที่เป็นสายญี่ปุ่นก็ยังรู้สึกว่าเฉื่อยช่วงกลางเรื่องเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นละก็ เขาก็พยายามเดินให้ไวขึ้นแล้วละ พยายามใส่เท่าที่จำเป็นต่อการขมวดเรื่องในภายหลังจริง ๆ แล้วนะ)
และเมื่อเข้าสู่ช่วงต้นของท้ายเรื่อง (น่าจะประมาณตอน 7 หรือ 8 นี่ละ) สิ่งที่ปูมาก็เริ่มออกดอกผล เราจะรู้สึกถึงความทรงพลังของท่อนเพลงที่ว่า ‘เธอจะเป็นคนรักของฉันเสมอไป แม้ว่าฉันจะไปตกหลุมใครอีกก็ตาม’ แบบน้ำตาซึมเลยละ
(อ่านต่อหน้า 2 คลิกด้านล่างเลย)
ฉันจะจดจำวิธีรักใครไว้เสมอ เพราะเธอคือผู้ที่สอนให้ฉันรู้จักความรักนี้ เธอจะเป็นเพียงคนเดียวในใจฉันเสมอไป
ในช่วงหลังของเรื่องสิ่งที่น่าสนใจคือการใช้ประสบการณ์ถ่ายทอดจากรุ่นปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ไปสู่รุ่นลูกหลาน อันที่จริงสิ่งนี้มีแทรกมาเป็นระยะตั้งแต่เริ่มเรื่องแต่เรามองเห็นมันไม่ชัดเจน คิดว่าเป็นเพียงการเล่าเรื่องราวให้เราเข้าใจในตัวละครเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือการส่งต่ออุดมการณ์ ความฝัน และความหวังซึ่งรวมไปถึงมุมมองการใช้ชีวิต และมุมมองที่มีต่อความรักด้วย
แม้ในเพลง First Love มีเนื้อหาที่มุ่งให้เราระลึกไปถึงความรักครั้งแรกของหนุ่มสาว แต่เมื่อเราดูซีรีส์ไปจนจบและได้ตกตะกอนกับตัวเอง ภาพและการกระทำต่าง ๆ ของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อแม่ที่แสดงความรักต่อลูก ก็ทำให้เรารู้สึกถึงความหมายแฝงที่ซีรีส์เรื่องนี้พยายามถ่ายทอดออกมา แล้วก็น้ำตาปริ่มยิ่งกว่าเดิม รักแรกนั้น หากคิดผิวเผินในมุมหน่มสาวเราอาจคิดว่ามีได้เพียงครั้งเดียว แต่ที่จริงแล้วเราก็ยังอาจมีรักแรกอีกครั้งที่แตกต่างไป เมื่อได้พบเจอหน้า “ลูก” ก็ได้
แม้ว่าพ่อแม่ของของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และมีทั้งจุดดีจุดเสียแตกต่างกันไป แต่ความรัก ความสำคัญที่มีให้ลูกนั้นเป็นเบอร์หนึ่งของทุกตัวละครในเรื่องนี้เลย แถมมันยังไปสิ่งหลักที่ถ่ายทอดต่อกันไปได้ด้วย หากคิดให้ลึก คนแรกที่สอนให้เรารักเป็น จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ใช่แฟนคนรักหรือคนรักคนแรกแบบในเพลงก็ได้ แต่หมายถึงพ่อแม่ พี่น้อง คนในครอบครัวของเรานี่ละ งือออ ดูไปก็เศร้าไป เรียกได้ว่าพอจะเบรกความเศร้าของพระนาง ก็ได้เศร้าต่อกับชะตากรรมของผู้เป็นพ่อแม่ไม่ได้ว่างเว้นเลย …นับว่าเรื่องนี้ตอกย้ำทาร์เกตหลักวัยสามสิบขึ้น ที่เริ่มมีลูกและเข้าใจหัวอกพ่อแม่กันอย่างจัง ๆ ดูจบแล้วอยากกอดทุกคนในครอบครัวให้แน่นเลยเชียวละ แงงงงงงงงง
ตอนนี้มันจะเป็นเพียงเพลงรักอันแสนเศร้า จนกว่าฉันจะขับขานบทเพลงบทใหม่ได้อีกครั้ง
ใช่เลย ระหว่างที่ดูไปก็รู้สึกเป็นระยะว่าตับจะพังแล้วนะ เมื่อไหร่ เวลาที่ ‘ฉันจะขับขานบทเพลงใหม่ได้อีกครั้ง’ จะมาเสียที ดูจนจบก็คิดไปมาได้ว่า ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้แหละ แต่วันนึงที่ทุกอย่างถึงพร้อม และเราตระหนักรู้ได้ถึงบางสิ่ง ช่วงเวลาที่ขับขานบทเพลงใหม่นั้นก็จะมาเอง
การตัดสลับเล่าเรื่องไปมาที่มีผลชวนในเราตามในตอนแรก บัดนี้กลายเป็นครื่องมือกรีดหัวใจขั้นสุด หลายคนอาจแบบอ้าวปูมาซะเยอะเลยนะเพลงอุทาดะเนี่ยทำไมพอกลางเรื่องแล้วหายต๋อม เมื่อเรื่องเดินมาถึงตอนจบของตอนที่ 8 คุณจะเข้าใจการจัดจังหวะเรื่องทั้งหมดในทันที พอเพลงขึ้นในตอนนี้แหละ น้ำตาที่กลั้นไว้ จะกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วววว
อาจมีบางครั้งที่เรามองไม่เห็นปลายทาง / ไม่อาจรู้สึกได้ว่าชีวิตมันจะดีขึ้นกว่านี้ได้ / ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์มันจบลงไปแล้ว และเราคงไม่อาจไปจากจุดที่น่าเบื่อนี้ได้อีกแล้ว ต้องติดแหง็กอยู่แบบนี้แหละ …แต่จริง ๆ แล้วชีวิตมันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ … นี่แหละคือข้อความสุดท้ายที่ซีรีส์นี้อยากสื่อมาให้ถึงเรา เพราะฉะนั้นขอเถอะใครดูไปกลางเรื่องอาจคิดว่ามันเนือย มันอาจเนิบไปบ้าง แต่ขอให้ลองดูจนจบสักตั้ง เพราะนอกจากความเศร้าซึมชวนตับพังแล้ว ที่ปลายทางของเรื่องคุณจะได้อะไรมากกว่านั้นแน่นอน เราว่าจริง ๆ มันคือซีรีส์ที่อาจจะทำมาเพื่อให้กำลังใจคนวัยสามสิบอัปก็ได้
และไม่แน่ว่าหลังดูจนจบ คุณอาจจะตระหนักถึงบางอย่างที่จะทำให้ชีวิตของคุณหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางไปก็ได้นะ โปรดจงจำท่อนเพลงที่จะพาเราวนไปช่วงฮุกเอาไว้ให้ดีละ…ชีวิตคนเรามันก็เป็นเช่นนั้นแหละ
แม้เวลาที่หยุดหมุนนี้ เริ่มขยับเดินได้อีกครั้ง แต่ฉันจะไม่มีวันลืมเรื่องราวของเราแน่นอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส