ยุคนี้ต้องเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งสตรีมมิงที่แท้จริง เพราะนอกจากจะมีแพลตฟอร์มสตรีมมิงออกมาแย่งชิงเวลาของผู้ชมมากมายหลายเจ้าแล้ว แต่ละเจ้าก็ยังขยันเข็นคอนเทนต์เด็ด ๆ ออกมาให้ดูกันแทบไม่ได้หลับได้นอน บทความนี้จึงขอคัดเน้น ๆ 10 ซีรีส์เรื่องดังที่เด็ดดวงทั้งคำวิจารณ์และคะแนนรีวิว อีกทั้งยังเป็นซีรีส์ฮิตติดกระแส ที่ขอรับประกันว่าถ้าไม่ดู ระวังจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
‘Breaking Bad’ (2008–2013)
ซีรีส์ดราม่าอาชญากรรม เรื่องราวดีแตกของ วอลเทอร์ ไวต์ แสดงโดย ไบรอัน แครนสตัน (Bryan Cranston) ครูเคมีระดับมัธยมศึกษา ที่ค้นพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด และมีครอบครัวที่ต้องดูแล ทั้งภรรยาที่กำลังตั้งท้อง และลูกชายพิการ เขาจึงต้องดิ้นรนหาค่ารักษาด้วยการร่วมมือกับ เจสซี พิงก์แมน แสดงโดย แอรอน พอล (Aaron Paul) ลูกศิษย์ติดยาไม่เอาไหน ร่วมกันสกัดยาไอซ์ออกมาขาย จนทำให้เขาร่ำรวยอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ต้องดำดิ่งสู่โลกของอาชญากรรมจนยากจะถอนตัว
‘Breaking Bad’ เป็นหนึ่งในทีวีซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยเนื้อเรื่องตลกร้ายสุดซีเรียสเข้มข้น ฉากดิบโหดรุนแรง สะท้อนสังคมและศีลธรรมดำมืดได้อย่างเข้าถึง จนกลายเป็นซีรีส์ที่ได้รับคำวิจารณ์ยกย่องจากแทบทุกสำนัก คว้ารางวัลและเข้าชิงในเวทีประกวดเล็กใหญ่หลายสิบเวที
ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่อวอร์ด 58 ครั้ง คว้ามาได้ 16 รางวัล และยังเป็นเจ้าของสถิติทีวีซีรีส์ที่มีเรตติ้งสูงสุดตลอดกาล และได้รับคำวิจารณ์มากที่สุด ของ กินเนสส์ เวิล์ด เร็คคอร์ด (Guinness World Records) จนแตกเรื่องราวออกมาเป็นสปินออฟ ทั้งในรูปแบบหนัง ‘El Camino’ (2019) และ ‘Better Call Saul’ ซีรีส์ภาคแยก 6 ซีซัน ที่รับประกันความยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
จำนวนซีซัน: 5 ซีซัน (จบบริบูรณ์)
Average Tomatoes Meter: 96%
IMDb Rating: 9.5/10
รับชมได้ทาง Netflix
‘Dark’ (2017–2020)
ซีรีส์ไซไฟทริลเลอร์สัญชาติเยอรมันที่โด่งดังด้วยเรื่องราวสุดซับซ้อน เมื่อเมืองวินเดน (Winden) หมู่บ้านเล็ก ๆ ในประเทศเยอรมนีอันแสนสงบสุข ต้องเผชิญกับเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้น ผ่านกาลเวลาและผู้คนหลายชั่วอายุ ตั้งแต่ปี 1953-1986 จวบจนวันสิ้นโลก ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงไขว้ไปมาของ 4 ครอบครัว และมิติพื้นที่โลกคู่ขนานอันซับซ้อน ที่ต่อให้ดูหรืออ่านสปอยล์ก็อาจเข้าใจเรื่องราวได้ไม่หมด
ความซับซ้อนหนักสมองของซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีผลต่อกระแสเลย เพราะด้วยความยอดเยี่ยมในการสร้างเรื่องราวอันซับซ้อน เล่นกับการข้ามเวลาได้น่าสนใจ เล่าเรื่องราวได้ออกมาระทึกเข้มข้นน่าติดตามจนทำให้คนดูต้องยอมทำการบ้านตามเพื่อให้ดูรู้เรื่อง และแคสติ้งนักแสดงที่พิถีพิถัน ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นซีรีส์ยอดฮิตของ Netflix อีกเรื่อง
‘Dark’ ติดอันดับที่ 58 ของรายชื่อทีวีซีรีส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 ของ BBC และติดอันดับที่ 22 ของรายการทีวีที่ดีที่สุดตลอดการของเว็บไซต์ BuzzFeed และทำคะแนน Tomatoes Meter บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้คะแนนอันดับสูงมาก โดยเฉพาะซีซัน 2 ที่ทำคะแนนได้ 100% เต็ม
จำนวนซีซัน: 3 ซีซัน (จบบริบูรณ์)
Average Tomatoes Meter: 95%
IMDb Rating: 8.7/10
รับชมได้ทาง Netflix
‘Squid Game’ (2021– )
ซีรีส์แนวดราม่าผสมแนวเอาตัวรอดท้าตายสุดตื่นเต้น กับเรื่องราวของการเอาตัวรอดของโลกทุนนิยมของตัวละครหลายชีวิต ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากเข้าตาจน ผู้เล่นทั้ง 456 คนจึงเต็มใจร่วมเดินทางเข้าแข่งขันเกมการละเล่นสุดอันตราย เพื่อพิชิตเงินรางวัล 45,600 ล้านวอน ที่จะเปลี่ยนชีวิตคนสุดท้ายเพียงคนเดียวที่สามารถเอาชนะและรอดตายมาได้ในทุกเกม และคนแพ้ต้องเผชิญกับความตายสถานเดียว
Squid Game กลายเป็นปรากฏการณ์ซีรีส์เกาหลีที่ฮิตระเบิดไปทั่วทุกมุมโลก ด้วยเรื่องราวของตัวละครที่สมเหตุสมผลและเข้าถึงได้ง่าย งานสร้างฉากเกมอันแปลกตา ความลับสุดเซอร์ไพรส์ที่แสนจะมืดหม่น และความตื่นเต้นของแต่ละเกมที่ดูแล้วลุ้นตัวโก่งเหมือนได้เล่นเอง ตัวซีรีส์สามารถทำยอดคนดูได้สูงถึง 111 ล้านคนภายใน 17 วัน
ติดอันดับ 1 ซีรีส์ที่มีชั่วโมงการชมใน 28 วันแรกหลังฉายสูงที่สุดตลอดกาลของ Netflix และยังก้าวไปคว้ารางวัลระดับโลกได้อย่างงดงาม ทั้ง อีจองแจ เจ้าของบท ซองกีฮุน (Lee Jung-jae) ที่คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม รางวัลเอ็มมีอวอร์ด (Emmy Awards) และ โอยองซู เจ้าของบท โออิลนัม (Oh Yeong-su) นักแสดงเกาหลีใต้คนแรกที่คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globes) สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และกำลังจะมีซีซัน 2 ตามมา โดยในขณะนี้มีข้อมูลเพียงแค่ว่า อาจจะได้รับชมกันในปลายปี 2023 หรืออาจเลยไปถึงปี 2024
จำนวนซีซัน: 1 ซีซัน
Average Tomatoes Meter: 95%
IMDb Rating: 8.0/10
รับชมได้ทาง Netflix
‘Chernobyl’ (2019)
มินิซีรีส์ 5 ตอนที่สร้างโดย HBO กับการสะท้อนเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริง จากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ที่ตั้งอยู่ในยูเครน สหภาพโซเวียต เมื่อปี 1986 ที่เกิดเหตุไฟไหม้และระเบิด ก่อเกิดเป็นภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งของโลก แต่ไม่ใช่แค่จำลองเหตุการณ์เท่านั้น เพราะซีรีส์ยังทรงพลังด้วยการสะท้อนเรื่องราวของการเมือง ทั้งการพยายามปกปิดอำพรางความอันตรายของนิวเคลียร์ต่อชาวโลกของรัฐบาล การต่อสู้ชิงชัยในสงครามเย็นระหว่างโซเวียตและสหรัฐอเมริกา และการเสียสละของกลุ่มคนผู้ช่วยเหลือในเหตุการณ์
แม้จะเป็นซีรีส์ที่มีเพียง 5 ตอน แต่การสะท้อนภาพความเหลวแหลกในการจัดการกับวิกฤติระดับชาติของรัฐบาล และเรื่องราวความเจ็บปวดจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระเบิด และงานโปรดักชันที่สมจริง ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ถึงเรื่องราวที่เข้าถึงง่าย ทรงพลัง หดหู่ สิ้นหวัง และทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยมแม้จะไม่มีนักแสดงดัง ๆ ระดับแม่เหล็กเลย ถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งในซีรีส์ยอดนิยมมาอย่างยาวนาน และยังคว้า 2 รางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำมาครองได้อีกด้วย
จำนวนซีซัน: 1 ซีซัน (จบบริบูรณ์)
Average Tomatoes Meter: 95%
IMDb Rating: 9.4/10
รับชมได้ทาง HBO GO
‘House of the Dragon’ (2022– )
ซีรีส์สปินออฟจากซีรีส์ในตำนาน จากนิยายแฟนตาซี ‘Fire & Blood’ โดย จอร์จ อาร์อาร์ มาร์ติน (George RR Martin) กับเรื่องราวช่วง 200 ปีก่อนเหตุการณ์มหาศึกชิงบัลลังก์ใน ‘Game of Thrones’ กับความขัดแย้งแก่งแย่งอำนาจ เลือดข้นคนจางภายในตระกูลทาแกเรียน จนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ของตระกูลแห่งมังกร
HBO ผู้สร้างซีรีส์ กล้าเดิมพันกับซีรีส์ซีซันเดียว ด้วยทุนสร้างมหาศาลสูงถึง 200 ล้านเหรียญ หรือเฉลี่ยตอนละ 20 ล้านเหรียญ ทำให้ซีรีส์สามารถถ่ายทอดเหตุการณ์ออกมาได้อย่างสมจริง ทรงพลัง งานสร้างสุดประณีตอลังการในทุก ๆ ตอน รวมทั้งการดึงเอาจิตวิญญาณของ Game of Thrones กลับมาได้อย่างครบครัน
ด้วยเรื่องราวและการเชือดเฉือนที่เข้มข้น ถ่ายทอดความเทา ๆ ของตัวละครได้อย่างมีเสน่ห์ ทำให้กลายเป็นหนึ่งซีรีส์ที่มาแรงสุด ๆ ของปี 2022 และทำสถิติยอดผู้ชมตอนแรกสูงเกือบ 10 ล้านคนในอเมริกาภายในคืนเดียว และมาแรงข้ามปีด้วยการคว้ารางวัลทีวีซีรีส์ยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า จากเวทีลูกโลกทองคำในปีนี้มาครองได้แบบไม่พลิกโผ
จำนวนซีซัน: 1 ซีซัน
Average Tomatoes Meter: 100%
IMDb Rating: 8.5/10
รับชมได้ทาง HBO GO
‘The Mandalorian’ (2019– )
เรื่องราวของ The Mandalorian เริ่มต้นหลังจากเหตุการณ์ที่ฝ่ายต่อต้านสามารถเอาชนะจักรวรรดิได้เป็นครั้งแรกใน ‘Star Wars’ เอพิโซดที่ 6 (‘Star Wars: Episode VI – Return of the Jedi’) แต่ทว่าเศษซากความชั่วร้ายของด้านมืดยังไม่หมดไป แมนโด รับบทโดย เพโดร พาสคาล (Pedro Pascal) นักล่าค่าหัวฝีมือเทพชาวเผ่าแมนดาลอร์ ได้ไปรับงานจากทหารกลุ่มจักรวรรดิให้ลักพาตัวหนูน้อยโกรกู (Grogu) เพื่อนำมาทดลองบางอย่าง แต่ด้วยความผูกพัน ทำให้เขาเลือกที่จะพาโกรกูหนี จนถูกจักรวรรดิหมายหัวและออกตามล่าเขาให้จงได้
แม้ว่ายุคนี้อาจไม่ใช่ยุคเรืองรองของแฟรนไชส์ ‘Star Wars’ แต่ ‘The Mandalorian’ ก็เป็นซีรีส์ที่วางแนวทางใหม่ให้กับจักรวาลได้น่าสนใจ กับงานโปรดักชันที่จัดเต็ม เรื่องราวการผจญภัยที่สนุกสนานตามแบบฉบับของ Star Wars ทำให้ยังคงครองใจแฟน ๆ จนกลายเป็นซีรีส์ที่มีคนดูมากที่สุดบน Disney+ คว้ารางวัลเอ็มมีอวอร์ดมาได้ทั้ง 2 ซีซัน และเตรียมระทึกกับซีซัน 3 ที่จะกลับมาอีกครั้งในเดือนมีนาคมนี้
จำนวนซีซัน: 2 ซีซัน
Average Tomatoes Meter: 95%
IMDb Rating: 8.7/10
รับชมได้ทาง Disney+Hotstar
‘The Boys’ (2019– )
ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร 3 ซีซันเรื่องดังของ Prime Video ที่สร้างจากคอมิก เรื่องราวของกลุ่มคนธรรมดา ๆ ที่รวมตัวกันเป็นทีมซูเปอร์ฮีโร เพื่อแก้แค้นการกระทำอันสกปรกของเหล่าซูเปอร์ฮีโรทั้งหลายที่ใช้พลังในทางที่ผิด แถมยังตีแสกหน้าความโสมมของโลกธุรกิจและทุนนิยม ชำแหละวงการสื่อ และที่สำคัญคือยังฟาดเหล่าบรรดาซูเปอร์ฮีโรจากค่ายยักษ์ใหญ่โลกสวยว่าฮีโรก็เป็นเหมือนกับคน ๆ หนึ่งที่มีอดีตอันเจ็บปวด
ทำให้ The Boys เป็นซีรีส์ที่ไม่ใช่แค่กวนเบื้องล่าง หยิบเอาขนบทีมซูเปอร์ฮีโรค่ายยักษ์มาตีแสกหน้า และล้อเลียนกันแบบโต้ง ๆ แต่ยังสะท้อนเรื่องราวของฮีโรในโลกทุนนิยมด้วยการการเซตติงโลกของซูเปอร์ฮีโรที่ใกล้เคียงกับโลกแห่งความเป็นจริง และการเล่าเรื่องที่โหดสลัดจัดเต็มทั้งความรุนแรง หยาบคาย ทะลึ่งแบบไม่เกรงใจใคร ที่หลายคนอาจยี้ แต่สะใจคนชอบหนังแนวนี้ไม่น้อย กวาดคะแนนวิจารณ์ 98% บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ในซีซัน 3 กวาดสถิติคนดู 8 ล้านคนใน 10 วันแรกหลังฉาย และกลายเป็นซีรีส์เรือธงที่มีคนดูมากที่สุดเรื่องหนึ่งของ Prime Video จนมีการอนุมัติสร้างซีซัน 4 แล้วเป็นที่เรียบร้อย
จำนวนซีซัน: 3 ซีซัน
Average Tomatoes Meter: 92%
IMDb Rating: 8.7/10
รับชมได้ทาง Prime Video
‘Stranger Things’ (2016– )
คงไม่มีซีรีส์ Netflix เรื่องไหนที่สร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์สุด ๆ ในทุกซีซันได้เท่ากับซีรีส์ไซไฟสยองขวัญเรื่องนี้อีกแล้ว กับเรื่องราวของเมืองฮอว์กกินส์ในช่วงยุค 80’s เมื่อมีเด็กชายคนหนึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับ ทำให้กลุ่มเพื่อน ๆ ของเขาต้องออกตามหา จนพบว่า ณ โลกที่เขาอยู่ ยังมีโลกคู่ขนานที่เรียกว่าโลกกลับด้าน ที่เต็มไปด้วยอสุรกายอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งเกี่ยวพันกับปฏิบัติการขององค์กรลับ ๆ อีกด้วย
เรียกว่าไม่ต้องพูดเยอะ หลายคนก็คงรู้ถึงความสนุกตื่นเต้น ลุ้นระทึกไปกับความน่ากลัว เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ พล็อตสืบสวนสอบสวน และเรื่องราวดราม่าของเหล่าตัวละครเด็กที่โตขึ้นพร้อมกับทวีความเข้มข้นขึ้นในทุก ๆ ซีซัน ครอบคลุมบรรยากาศป๊อปคัลเจอร์ยุค 80’s จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีอวอร์ด และลูกโลกทองคำหลายครั้ง และครองสถิติยอดผู้ชมมากที่สุดใน Netflix และติดอันดับ 1 ของซีรีส์ภาษาอังกฤษที่มียอดการชมสูงสุดใน 28 วันหลังฉายสูงที่สุดตลอดกาล ก่อนจะปิดจบซีซันที่ 5 ที่รับประกันความยิ่งใหญ่และตื่นเต้นกว่าทุก ๆ ซีซัน
จำนวนซีซัน: 4 ซีซัน
Average Tomatoes Meter: 91%
IMDb Rating: 8.7/10
รับชมได้ทาง Netflix
‘WandaVision’ (2021)
ถ้าหากจะพูดถึงผลงานของ Marvel Studios ที่มีการนำเสนอแหวกแนวที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นซีรีส์เรื่องนี้ กับเรื่องราวครอบครัวของ วันด้า แม็กซิมอฟฟ์ แสดงโดย อลิซาเบธ โอลเซน (Elizabeth Olsen), วิชัน แสดงโดย พอล เบ็ตตานีย์ (Paul Bettany) และลูกชาย 2 คน หลังมหาสงครามใน ‘Avengers: Endgame’ ที่อยู่ดี ๆ ก็กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเวสต์วิว แต่หน่วยงาน S.W.O.R.D สวอร์ด กลับพบความผิดปกติบางอย่างที่เชื่อมโยงไปถึงวันด้า และปมอันแสนเศร้าที่แอบอยู่ภายใต้รอยยิ้มของครอบครัวแสนสุขสันต์ ที่ก่อเกิดเป็นปัญหาระดับมัลติเวิร์สในเวลาต่อมา
ด้วยเสน่ห์ของการจับเอากลิ่นอายของละครซิตคอมตลกอเมริกันในยุคต่าง ๆ มาใช้ได้อย่างสมจริง ผสานเข้ากับธีมซูเปอร์ฮีโร และพล็อตที่มีครบทั้งตลก แอ็กชัน ดราม่า ลึกลับ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีรสชาติที่แตกต่างและแปลกใหม่จากซีรีส์และหนังซูเปอร์ฮีโรโดยทั่วไป
พร้อมด้วยงานโปรดักชันที่จัดเต็มใกล้เคียงหนังฉายโรง จนทำให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่อวอร์ด และเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ 2 รางวัล เป็นเจ้าของสถิติซีรีส์ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลกภายในไม่ถึง 4 สัปดาห์หลังเปิดตัว และตัวละคร อกาธา ฮาร์กเนส (Agatha Harkness) แม่มดร้ายในคราบเพื่อนบ้านผู้แสนดี ก็กำลังจะมีซีรีส์ภาคแยกเป็นของตัวเองอีกด้วย
จำนวนซีซัน: 1 ซีซัน (จบบริบูรณ์)
Average Tomatoes Meter: 91%
IMDb Rating: 7.9/10
รับชมได้ทาง Disney+Hotstar
‘Game of Thrones’ (2011–2019)
ซีรีส์เรือธงตลอดกาลของ HBO ที่สร้างปรากฎการณ์ฮือฮาเป็นไวรัลได้ตลอดการฉายทั้ง 8 ซีซัน กับเรื่องราวแฟนตาซีดราม่าบนดินแดนสมมติในทวีปเวสเทรอส และเอสซอส กับเรื่องราว 3 เส้นเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องของการชิงบัลลังก์เหล็กแห่งเจ็ดอาณาจักร สงครามการทวงบัลลังก์ที่ถูกยืด และการปกป้องอาณาจักรให้รอดพ้นภัยแฝงเร้นจากโบราณกาล
Game of Thrones กลายเป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ HBO ด้วยเรื่องราวการเมือง ปมความขัดแย้ง และสงครามสุดเข้มข้น บทที่ล้ำลึก รุนแรง สะเทือนใจ บทสนทนาของตัวละครที่เปี่ยมความหมายชวนให้ตีความ และงานโปรดักชันคุณภาพสูงที่ทุ่มทุนสร้างตอนละ 15 ล้านเหรียญ กลายเป็นความสนุกที่แม้ว่าเรื่องราวจะซับซ้อน แต่ก็ยังมีผู้ที่ชื่นชอบจนรวมตัวกลายเป็นกลุ่มแฟนคลับตัวยง
ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมายทั้งลูกโลกทองคำ 8 รางวัล ทำสถิติเข้าชิงรางวัลเอ็มมีอวอร์ด 160 ครั้ง และคว้ามาได้ทั้งหมด 59 รางวัล ทำคะแนนวิจารณ์ 97% บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ในซีซันที่ 4 และยังสร้างปรากฏการณ์ยอดผู้ชมที่มีแต่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก 9.3 ล้านวิวในซีซันแรก ปิดจบด้วยจำนวนผู้ชมสูงสุดถึง 46 ล้านวิวในซีซันสุดท้าย
จำนวนซีซัน: 8 ซีซัน (จบบริบูรณ์)
Average Tomatoes Meter: 89%
IMDb Rating: 9.2/10
รับชมได้ทาง HBO GO
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส