Our score
8.9Kingdom ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด ซีซัน 2
จุดเด่น
- เล่าเรื่องสนุกมาก บทไปข้างหน้าตลอดเวลาแทบลืมหายใจ มีความพลิกผันให้ตื่นเต้นอยู่ตลอด
- ตัวละครทุกตัวมีฉากขายของตัวเอง และเท่มาก ๆ ทั้งตัวหลักตัวรอง ตัวเอกและตัวร้าย
- คลายปมปัญหาพร้อมสร้างปริศนาใหม่ได้น่าสนใจ
- งานสร้างดี ออกแบบมุมกล้องสวย
จุดสังเกต
- ถ้าคิดดี ๆ บทก็มีจุดอ่อนบ้างล่ะเช่นการกระทำโง่ ๆ ของบางตัวละคร
- หลายอย่างคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วเลยลดทอนความอยากรู้ไปบางเรื่อง
- ฉากสงครามต้นเรื่องผิดความคาดหวังไปหน่อย
- จอนจีฮยอนมาน้อยไป (ฮา)
- เสียงพากย์ไทยกับซับไทยแปลไม่ตรงกันอย่างมีนัยยะสำคัญบางฉาก
-
ความสมบูรณ์ของบท
9.0
-
คุณภาพนักแสดง
8.5
-
คุณภาพโปรดักชั่น การผลิต ความแปลกใหม่
9.0
-
ความสนุกน่าติดตาม
8.5
-
คุ้มค่าคุ้มเวลา
9.5
เรื่องย่อ เหตุการณ์ต่อเนื่องจากซีซันแรกที่องค์ชายรัชทายาทอีชางถูกขุนนางชั่วโจฮักจูสกัดอยู่ในเมืองซังจูเพื่ออยู่รบกับกองทัพผีดิบที่ไม่กลัวแสงแดดอีกต่อไป ฝ่ายหนึ่งล่มสลาย อีกฝ่ายเรืองอำนาจ ถึงคราวนองเลือดทั้งแผ่นดิน สงครามเลือดสาดระหว่างคนเป็นกับคนตายที่ไม่มีใครหนีพ้น ชะตากรรมของโชซอนจะเป็นอย่างไรต่อไป
**บทความนี้ไม่มีสปอยล์ทั้งเนื้อหาและภาพที่ใช้ประกอบ
Kingdom หรือชื่อไทย ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด กลับมาในซีซันที่ 2 หลังจากปล่อยแฟน ๆ ค้างคามาปีกว่าหลังจากจบซีซันแรก โดยยังได้ทีมงานสร้างทั้งผู้กำกับ คิมซองฮุน และมือเขียนบท คิมอึนฮี กลับมาสานต่อ พร้อมนักแสดงชุดเดิมคับคั่งทั้ง จูจีฮุน, แบดูนา และ ริวซุงยอง กลับมารับบทเดิม โดยยังมีตัวละครใหม่เสริมเข้ามาอีกหลายตัว โดยที่เด็ดสุดคือการมาร่วมแจมของ จอนจีฮยอน หรือ ยัยตัวร้าย จากหนัง My Sassy Girl ที่นับเป็นการกลับคืนจอครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 เลยด้วย
สิ่งที่ต้องชื่นชมสำหรับซีรีส์นี้ก็คือ การเล่าเรื่องที่กระชับรวดเร็ว ไม่มีจุดพักหายใจให้พักสายตาจากจอสักเท่าไหร่นัก อย่างที่นักแสดง ริวซุงยอง ที่รับบทโจฮักจูเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าตอนเขาอ่านบทเขาอ่านรวดเดียวจบตอนที่ 4 เลยทีเดียว และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ สถานการณ์พลิกผันและเดินไปข้างหน้าแบบนันสต็อปมาก ๆ แม้จะมีการใช้แฟลชแบ็กเพื่อเล่าย้อนบ้างแต่ก็เป็นการเปิดเผยสาระสำคัญอย่างเช่น อดีตเมื่อ 3 ปีก่อนที่ตัวละครมักพูดถึงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือบางครั้งก็เพื่อมาเรียกน้ำตาจากการย้ำความสัมพันธ์ในอดีตของตัวละครบางตัวด้วย เมื่อไม่มีจังหวะหายใจและต้องคอยคิดตามเรื่องราวที่หลอกล่อผู้ชมไปมาตลอดเวลา ทำให้ลดการมองเห็นรอยโหว่รอยรั่วของเรื่องไปได้ด้วย อย่างพวกการกระทำของตัวละครบางตัวที่เหมือนจะเท่แต่ก็ดูโง่ ๆ ไปพร้อมกันเมื่อคิดตามในตอนหลัง แต่ในจังหวะที่ดูมันก็ตื่นเต้นจนลืมคิดไปเลย จะบอกว่าซีรีส์แก้จุดอ่อนของบทด้วยบทก็ว่าได้
พวกกลุ่มตัวละครหลักเองยังมีบทบาทที่สำคัญในเส้นเรื่องของตนอย่างไม่มีเผลอไผล คือมีเป้าหมายของแต่ละตัวละครชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป โดยเฉพาะตัวองค์ชายอีชางที่เรารู้สึกแค่เขาอยากทวงสิทธิ์อันถูกต้องของตนจากขุนนางชั่ว แต่ในซีซันนี้เขาก็ได้รับการผ่านอุปสรรคที่ทำให้แสดงจุดยืนของตนเองชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดฉากจบที่คงไม่มีใครคาดคิด การมีเป้าของตัวเองชัดถือว่าเป็นจุดแข็งที่ดีเพราะทำให้นักแสดงทั้งบทหลักและบทรองโฟกัสกับฉากขายของตัวเองและเกิดซีนที่สวยน่าจดจำของแต่ละตัวละครได้ทั้งสิ้น ขนาดตัวละครรองตัวใหม่ที่เสริมเข้ามาในซีซันนี้ยังมีฉากเท่ ๆ เลย
นอกจากนั้นยังทำให้ซีรีส์นี้ขับดันเรื่องราวด้วยพลอตและยังให้พัฒนาการของตัวละครส่งเสริมเนื้อเรื่องไปได้พร้อมกัน จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่เกาหลีทำเก่งอยู่แล้ว แต่ที่ต้องชื่นชมขึ้นไปอีกในซีซันนี้คือเส้นกราฟของเรื่องที่วูบวาบมาก และยังใส่เรื่องของการสกัดป้องกันโรคระบาดที่อินเทรนด์ช่วงนี้สุด ๆ ไปพร้อมกับเรื่องของการแก่งแย่งชิงดีในอุดมการณ์การปกครองที่ต่างกันอันเป็นเรื่องสากลได้กลมกล่อม ไม่มีคำว่ามิตรหรือพี่น้องอีกต่อไป ทำให้เรื่องราวยากคาดเดา สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ แม้หลายอย่างเราจะคาดเดาได้มาตั้งแต่ตอนจบซีซันแรกอย่างเรื่องคนทรยศ หรือเรื่องโอรสที่จะประสูติ แต่มันก็ยังมีรายละเอียดบิดให้เรื่องมีน้ำหนักน่าสนใจไปต่อได้อีก
การแสดงของนักแสดงก็ถือว่าดีดุดันสมบทบาท มีความเป็นทีมมากกว่าโดดเด่นเดี่ยว ๆ เป็นรายบุคคล แต่กระนั้นก็ต้องชม แบดูนาที่ยังเล่นได้พอดีแบบไม่ล้น จูจีฮุนที่ให้ความรู้สึกว่าตัวละครมีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ริวซุงยองที่ยังใช้น้อยทำมากเล่นกับบทนิ่ง ๆ ใช้สายตากับน้ำเสียงข่มฝั่งพระเอกเอาอยู่หมัด และเป็นตัวร้ายที่ร้ายได้ของไม่หมด สมศักดิ์ศรีในการขับเคลื่อนเรื่องด้วยความชั่วร้ายน่าหมั่นไส้และน่าสะพรึงไปพร้อมกันมาก ๆ
ทางด้านงานสร้างก็มีฉากใหญ่ ๆ มาขายได้ตลอด โดยเฉพาะฉากช่วงท้ายที่เข้ามาในพระราชวังลากไปจนถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ออกแบบมาสวยมาก ๆ มุมกล้องเบิร์ดอายวิวโชว์พลังของการรุกของซอมบี้กับการตั้งรับสุดแรงต้านของพวกพระเอกได้ดีหลายครั้ง แม้จะติดใจอยู่บ้างกับฉากรบเปิดเรื่องที่ต่อเนื่องจากซีซันแรกมาว่าจะต้องเป็นฉากใหญ่ยักษ์ที่เมืองซังจูแน่ ๆ แต่เอาจริงมันก็ไม่ขนาดที่คาดหวัง เพราะเหมือนเรื่องจะรีบเล่าไปยังจุดถัดไปเสียมากกว่า ทำให้ฉากสงครามตอนต้นเรื่องนั้นไม่ตื่นเต้นมากเท่ากับฉากเมืองทงเรแตกหรือฉากพระเอกอพยพชาวบ้านหนีซอมบี้ผ่านป่าเขาในซีซันแรกได้เลย แต่ก็เพราะบทซีซันนี้ปั่นหัวเราไม่หยุดและเล่าจุดต่อจุดสถานการณ์แบบชวนให้รู้เรื่องข้างหน้าตลอดทำให้เราไม่ทันรู้สึกถึงจุดอ่อนพวกนี้
และถ้าใครอยากรู้ว่ามีซีซันต่อหรือไม่ ทางผู้เขียนบทอย่าง คิมอึนฮี ได้ให้สัมภาษณืไว้แล้วว่าถ้าแฟน ๆ ต้องการและนายทุนสนับสนุนเธอสามารถเขียนได้เป็น 10 ซีซันเลย และก็ตามนั้นเลย แม้ช่วงปลายตอนที่ 6 ของซีซันนี้จะทำให้รู้สึกว่าเออเรื่องมันลงตัวหมดแล้วไม่น่ามีภาคต่อแล้วล่ะ แต่ 10 นาทีสุดท้ายที่ จอนจีฮยอนจะปรากฏตัวตามข่าวลือนั้น ต้องบอกว่าเรื่องยังไปได้อีกไกลล่ะงานนี้ รอดูเลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส