Bridgerton เป็นเรื่องราวในแนวดราม่า-โรแมนซ์ มีฉากหลังเป็นยุครีเจนซี่ สร้างสรรค์โดย คริส ดูเซ็น และอำนวยการสร้างโดย ชอนดา ไรมส์ ดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของ จูเลีย ควินน์ หลังปล่อยฉาย Bridgerton ก็สร้างสถิติที่น่าปลาบปลื้มด้วยยอดผู้ชมมากกว่า 83 ล้านครัวเรือนภายใน 28 วันแรก นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดในกลุ่มทีวีซีรีส์ที่สร้างโดย Netflix เอง Bridgerton ยังติดอันดับ Top 10 ใน 83 ประเทศที่ออกฉาย ซึ่งรวมไปถึง สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, บราซิล, อินเดีย และแอฟริกาใต้ มีเพียงญี่ปุ่นประเทศเดียวที่ไม่สามารถเข้าอันดับ Top10 ได้ แต่ด้วยความสำเร็จเกินคาดเช่นนี้ ทำให้ Netflix ประกาศเดินหน้าสร้างซีซัน 2 ต่อทันที
จิมมี่ โฮว์ รองประธานฝ่ายสร้างสรรค์ซีรีส์ของ Netflix วิเคราะห์ถึงความสำเร็จของ Bridgerton ว่า น่าจะเป็นเพราะแนวของซีรีส์มีความละม้ายกับ The Queen’s Gambit ในจุดที่ “เป็นดราม่าย้อนยุคที่สะท้อนให้เห็นภาพและขนบธรรมเนียมในยุคนั้นโดยที่ไม่จำกัดขอบเขตผู้ชม”
พอเนื้อหาของ Bridgerton เป็นดราม่าย้อนยุค จึงค่อนข้างสุ่มเสี่ยงกับกลุ่มผู้ชมที่ซีเรียสจริงจังกับความถูกต้องในประวัติศาสตร์ จิมมี่ โฮว์ จึงรีบออกตัวชี้แจงในจุดนี้ไว้แต่เนิ่น ๆ
“มันเป็นภาพจากจินตนาการของ คริส แวน ดูเซ็น และ ชอนดา ไรมส์ ถึงยุคสมัยรีเจนซี่ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเล่าเรื่องราวตามประวัติศาสตร์เป๊ะ ๆ เราตั้งใจให้ภาพมันออกมาดูหรูหรามากขึ้น เซ็กซี่มากขึ้น และตลกขึ้นกว่าซีรีส์ย้อนยุคเรื่องอื่น ๆ และนั่นคือสาเหตุที่ Bridgerton สร้างความเซอร์ไพรส์และพึงพอใจกลุ่มผู้ชมของเรา”
อีกองค์ประกอบที่มีผลให้ Bridgerton ประสบความสำเร็จในระดับนี้ก็คือ “ช่วงเวลา” ที่ปล่อยออกมาถูกจังหวะ เพราะวันนี้ทั่วโลกยังอยู่ในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ผู้คนอีกมากยังกักตัวอยู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ พออยู่บ้านหลาย ๆ คนก็เลยเปิดทีวีดูหนัง และพยายามหาหนังประเภทที่แตกต่างจากที่เคยดูกันมาแล้ว พอมีทีวีซีรีส์เรื่องใหม่ออกมาก็เลยได้รับความสนใจเป็นพิเศษ บวกกับยอดสมาชิกของ Netflix ก็พุ่งขึ้นไปสูงถึง 200 ล้านรายเรียบร้อยแล้ว ทำให้ราคาของ Netflix ในตลาดหุ้นก็พุ่งสูงตามไปด้วย
อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้ชมพูดกันมากถึง Bridgerton ก็คือฉากบนเตียงของ แดฟเน บริดเจอร์ตัน (รับบทโดย ฟีบี เดเนวอร์) กับ ไซมอน แบสเซ็ตต์ (รับบทโดย เรเก ฌอง เพจ) ที่ถึงพริกถึงขิง ก็เลยกลายเป็นกระแสแบบปากต่อปากดึงให้ผู้ชมเข้ามาดูมากขึ้นเรื่อย ๆ พอผู้ชมกล่าวขวัญกันถึงฉากเลิฟซีนที่ค่อนข้างโจ๋งครึ่มมากขึ้น ทำให้ ฟีบี เดเนวอร์ ต้องออกมาคลายข้อสงสัยถึงเบื้องหลังในการถ่ายทำฉากนี้ว่า
“เราถ่ายทำฉากร่วมรักคล้ายกับพวกสตันท์แมนนั่นแหละ คือเรามีลูกบอลโยคะกั้นระหว่างเราไว้ ฉะนั้นเราจะไม่ได้รู้สึกว่าอวัยวะส่วนนั้นของเราโล่งโจ้งเสียทีเดียวหรอก ก่อนจะถ่ายทำฉากนี้ ฉันกับเรเจซ้อมกันจริงจังมาก พอถ่ายทำจริงเราก็เลยรู้ว่าเราทำอะไรกันอยู่ มันทำให้รู้สึกคล่องตัวอย่างมาก”
นอกเหนือจากฉากเลิฟซีนที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากแล้ว เพลงประกอบซีรีส์ก็ได้รับความนิยมอย่างมากด้วย เพราะประกอบไปด้วยเพลงพอปเพราะ ๆ อัดแน่นไปด้วยเครื่องสาย ด้วยองค์ประกอบทั้งหลายทั้งปวงนี้เอง ที่ผลักดันให้ Bridgerton ได้รับความนิยมมากขึ้นมากขึ้นในทุกวันนี้ ผู้อ่านล่ะครับ ได้ดูกันไปแล้วหรือยัง ระวังตกเทรนด์นะ