[รีวิว] Netflix ‘ULTRAMAN’ – ฮีโรเกราะเหล็กสุดระห่ำ ที่ดันเร่งรีบไปหน่อย

Release Date

14/04/2022

แนว

Animation

เรตผู้ชม

General

ความยาว

2 ซีซัน

[รีวิว] Netflix ‘ULTRAMAN’ – ฮีโรเกราะเหล็กสุดระห่ำ ที่ดันเร่งรีบไปหน่อย
Our score
6.9

[รีวิว] Netflix ‘ULTRAMAN’ – ฮีโรเกราะเหล็กสุดระห่ำ ที่ดันเร่งรีบไปหน่อย

จุดเด่น

  1. ภาพสวย ตัวละครเท่ วิพากษ์วิจารณ์มุมมืดของสังคมได้อย่างเจ็บแสบ แถมเรื่องราวของโลกในนั้นยังน่าติดตามเอามาก ๆ

จุดสังเกต

  1. ซีซันแรกภาพแย่ในบางฉาก ส่วนซีซันสองเนื้อเรื่องเร่งรีบไปหน่อย ถ้ายาวกว่านี้ น่าจะกลมกล่อมและสนุกมากเลยล่ะ
  • ความสมบูรณ์ของบท

    6.5

  • คุณภาพนักแสดง

    7.0

  • การเล่าเรื่อง

    6.7

  • โปรดักชัน-การถ่ายทำ

    7.5

  • ความคุ้มค่าในการรับชมตามแนวหนัง

    7.0

Ultraman เป็นแอนิเมชันที่ดัดแปลงจากมังงะเรื่อง ‘อุลตร้าแมน’ ของ เออิจิ ชิมิสึ (Eiichi Shimizu) กับ โทโมฮิโระ ชิโมกุจิ (Tomohiro Shimoguchi) โดยเล่าเรื่องราวแบบ ‘What if’ (จะเกิดอะไรขึ้น) ที่ต่อยอดมาจาก ซีรีส์อุลตร้าแมนภาคแรกในปี 1966

เนื้อเรื่องของ Ultraman เล่าต่อจากตอนจบของซีรีส์อุลตร้าแมน(1966) เมื่ออุลตร้าแมนได้แยกตัวออกจากเจ้าหน้าที่หน่วยวิทยะ ฮายาตะ ชิน เพื่อเดินทางกลับสู่กาแล็กซีแห่งแสง ต่อมาโลกก็กลับมาสงบสุขอีกครั้งเพราะไม่มีมนุษย์ต่างดาวปรากฏตัวขึ้นบนโลกเลย แต่ทว่าความจริงแล้วเหล่ามนุษย์ต่างดาวไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่พวกเขาแปรเปลี่ยนสภาพตนเอง แฝงกายมาใช้ชีวิตปะปนกับมนุษย์โลก มีการสร้างเขตการปกครองของตน กลมกลืนซะจนมนุษย์แทบไม่รู้สึกตัว

ทางด้าน ฮายาตะ ชิน ผู้เคยเป็นร่างสถิตของอุลตร้าแมนก็ได้ใช้ชีวิตเรื่อยมา มีครอบครัวอย่างสงบสุข แต่ทว่าวันหนึ่งลูกชายของเขาอย่าง ฮายาตะ ชินจิโร่ ก็ได้ค้นพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษที่หลับใหลอยู่ในตัวซึ่งได้รับสืบทอดมาจากพ่อ ชินจิโร่จึงใช้ชุดเกราะที่พัฒนาขึ้นมา ออกปฏิบัติการปกป้องผู้คน และเจ้าชุดเกราะนั้นก็ถูกเรียกว่า ‘อุลตร้าแมนสูท’ 

ฮายาตะ ชินจิโร่ ยืนคู่กับรูปปั้นของยักษ์แห่งแสง

ในซีซันแรก เรื่องราวจะพาเราไปรู้จักโลกลึกลับที่ซ้อนทับอยู่ในโลกของเรา ซึ่งเป็นสถานที่อโคจรที่มีมนุษย์ต่างดาวมาปะปนมากมาย เนื้อหายังสะท้อนเรื่องราวของคนชายขอบผ่านมนุษย์ต่างดาวได้ดีเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นแง่มุมใหม่ที่เราไม่ค่อยเห็นจากอุลตร้าแมนฉบับปกติเท่าใดนัก ที่สำคัญแอนิเมชันยังพาเราไปรู้จักกับอุลตราแมนอีก 2 คนนั่นคือ โมโรโบชิ ดัน ผู้สวมใส่ชุดเกราะของเซเวน กับ โฮคุโตะ เซจิ ผู้สวมใส่ชุดเกราะเอซ ซึ่งแต่ละคนก็มีปมเรื่องราวที่ชวนติดตามทั้งคู่ แม้ว่าจะมีอุลตร้าแมนเพียงแค่ 3 คน แต่การค่อย ๆ ปูเนื้อหาก็ช่วยให้เราอยากติดตามไปจนถึงตอนสุดท้ายของซีซันโดยไม่รู้สึกเบื่อเลย

ในซีซัน 2 นี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์กลุ่มคนหายสาบสูญในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ฮิงาชิ โคทาโร่ นักข่าวอิสระก็ได้เริ่มสืบหาต้นตอของเหตุการณ์นี้ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ตัวเอกอย่างฮายาตะ ชินจิโร่ กลับหายสาบสูญไปพร้อมกันซะได้ โคทาโร่และเจ้าหน้าที่หน่วยวิทยะจึงต้องออกตามหาต้นตอของความลับว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้

ฮิงาชิ โคทาโร่ และอุลตร้าแมนสูทของเขา

เรื่องราวในซีซัน 2 คือการเปิดตัวเด็กดันคนใหม่อย่างโคทาโร่นั้นก็คงไม่ผิดนัก เพราะด้วยความป๊อปปูลาร์ของตัวละคร ก็ส่งผลให้เขาได้เปิดตัวในเวอร์ชันแอนิเมชันเร็วขึ้น และเคมีของโคทาโร่ก็เข้าไปหลอมรวมกับกลุ่มตัวเอกได้อย่างแนบสนิท จนเราก็อดหลงรักตัวละครนี้ไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อมองถึงจุดสำคัญอย่างงานภาพ ก็ขอชมจากใจว่า Netflix ทำการบ้านมาดีมาก เพราะปัญหาของซีซันแรกคือการที่เฟรมเรทของอนิเมชันค่อนข้างกระตุก ชนิดที่ว่าบางฉากแทบอยากจะเบือนหน้าหนี ซึ่ง Netflix ก็ค่อนข้างรับฟังเสียงจากผู้บริโภค เพราะซีซันนี้ไม่มีปัญหาเรื่องภาพกระตุกให้จุกจิกกวนใจแล้ว

และซิกเนเจอร์อย่างซีนแอ็กชันก็ยังทำได้ดีตามมาตรฐาน เพราะสิ่งนี้ถือเป็นจุดเด่นที่ทำได้ดีมาตั้งแต่ซีซันแรกแล้ว และในซีซันที่ 2 ก็ยกระดับมุมกล้องให้ออกมาดีขึ้น ไหลลื่นขึ้น แถมซีนแอ็กชันยังพลิ้วไหวมากกว่าเดิมซะด้วย

เหล่านักรบอุลตร้าในซีซันแรก ซึ่งประกอบไปด้วย เซเว่น, อุลตราแมน(ชินจิโร่), เอซ

แต่จุดที่น่าเสียดายสำหรับเราคงจะเป็นการที่ซีซันนี้เลือกที่จะใช้คำว่า ‘ซีซัน 2’ 

แม้ว่าปมปริศนาจะดูยิ่งใหญ่ แต่เนื้อหากลับมีขนาดเพียงแค่ 6 ตอน ถือว่าสั้นกว่ามินิซีรีส์บางเรื่องซะอีก ด้วยจำนวนตอนเพียง 6 ตอน และเวลาแต่ละตอนก็ไม่ถึง 20 นาที จึงทำให้แอนิเมชันไม่สามารถเล่าทุกอย่างออกมาได้หมดจด

และก็มันส่งผลถึงบาดแผลต่อไป ที่แอนิเมชันภาคนี้มีพลอตรองที่ยุ่งเหยิงเต็มไปหมด ทั้งการเร่งรีบแนะนำตัวละครใหม่ การเปิดเผยความลับของตัวละครเก่า รวมถึงการเน้นน้ำหนักตัวประกอบที่มากเกินจำเป็น ทั้งยังไม่นับพล็อตหลักที่มีทั้งบอสรองกับบอสหลักด้วยนะ ซึ่งทุกอย่างถูกยัดมาในเวลาเพียง 6 ตอนเท่านั้น

ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้คนดูแทบไม่ได้ไม่ได้ซึมซับความรู้สึกของเนื้อหา เพราะแอนิเมชันดันทุรังแต่จะเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยไร้ซึ่งการทิ้งเวลาให้คนดูได้ทำความรู้จักตัวละคร ทำให้ซีซัน 2 เนื้อหาแทบจะขาดมิติ กระทั่งว่ามีตัวละคร (ที่น่าจะ) สำคัญในเรื่องตาย เรากลับไม่รู้สึกโศกเศร้าอะไรเลย เพราะเนื้อหาไม่ได้ปูให้เรามีอารมณ์ร่วมอย่างที่ควรจะเป็น

เหล่านักรบอุลตร้าในซีซัน 2

โดยรวมแล้ว อุลตร้าแมนถือเป็นแอนิเมชันที่ขาด ๆ เกิน ๆ อยู่พอสมควร ในทุกซีซันต่างมีข้อดี-ข้อเสียคนละจุด โดยในซีซันแรกมีจุดแข็งที่เนื้อหาและโลกอันลึกลับที่ค่อย ๆ ไต่ระดับความพีค มีเวลาให้เราได้ทำความรู้จักโลกของพวกเขา แม้ว่าจะมีบาดแผลใหญ่ที่งานภาพ แต่ความสนุกของเนื้อเรื่องก็ช่วยให้เราดูต่อจนจบได้ ทว่าในซีซัน 2 นั้นเหมือนกับผู้สร้างโยนทุกอย่างของภาคแรกทิ้งไป แล้วชดเชยด้วยงานภาพที่ลื่นไหล แม้เนื้อหาจะมีจุดบกพร่องที่กวนใจ แต่งานภาพที่งดงามก็ช่วยให้เรายังคงดูต่อไปได้เรื่อย ๆ และถือว่าเป็นบทโหมโรงที่ดี ก่อนจะขับเคลื่อนไปเฟสในซีซัน 3

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส