อย่างที่ทราบข่าวกันไปแล้วว่า เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ Puck ได้รายงานว่า ทอม ครูซ (Tom Cruise) ในฐานะนักแสดงนำ และโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์แอ็กชันสายลับระดับบล็อกบัสเตอร์เรื่องล่าสุด ‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ ที่จะเข้าฉายในวันที่ 12 กรกฎาคม เกิดความหัวฟัดหัวเหวี่ยง เพราะ ‘Mission: Impossible 7′ ของครูซจะได้มีโอกาสฉายในโรงภาพยนตร์ในระบบ IMAX ในสหรัฐอเมริกาภายในสัปดาห์แรกหลังฉาย ก่อนจะถูกตัดรอบฉายให้กับ ‘Oppenheimer’ เข้าฉายต่อแทน
และอย่างที่ทราบกันดีว่า ในเดือนกรกฏาคมที่จะถึงนี้ จะเป็นเดือนที่ดุเดือดที่สุดอีกเดือนหนึ่งของปี เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อนที่มีหนังบล็อกบัสเตอร์เข้าฉายชนพร้อมกันหลายเรื่อง ไล่ตั้งแต่ ‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ ภาคต้นของหนังภาคสุดท้ายที่จะเป็นการปิดตำนานสายลับ อีธาน ฮันต์ อย่างสมบูรณ์ รวมทั้ง ‘Barbie’ ที่กำกับโดย เกรตา เกอร์วิก (Greta Gwerwig) ที่เรียกกระแสฮือฮาบนโลกออนไลน์ได้ไม่น้อย และ ‘Oppenheimer’ ผลงานฟอร์มยักษ์สุดทะเยอทะยานเรื่องล่าสุดของเสด็จพ่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่เข้าฉายชนกับ ‘Barbie’ ในวันเดียวกันพอดิบพอดี
เว็บไซต์ Variety ได้เผยแพร่รายงานที่ได้ไปสอบถามกับ ริชาร์ด เกลฟอนด์ (Richard Gelfond) CEO ของ IMAX ที่ได้เปิดใจเกี่ยวกับศึกแย่งชิงจอหนังของบรรดาหนังบล็อกบัสเตอร์ โดยเฉพาะบรรดาหนังฟอร์มยักษ์ที่ต่างก็ต้องการนำเสนอความยิ่งใหญ่ของฉากแอ็กชันสุดอลังการบนจอยักษ์กันทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่าการถูกตัดรอบฉายจอยักษ์ในครั้งนี้จะทำให้ครูซ ที่เคยเชียร์ให้ไปชม ‘Tenet’ (2020) ของโนแลนเมื่อตอนสมัยโควิดระบาดน่าจะหัวเสียไม่น้อย
เกลฟอนด์ได้ยืนยันกับรายงานชิ้นนี้ว่า ให้รอบฉาย ‘Mission: Impossible 7′ ในโรงหนัง IMAX จำนวน 401 โรงในอเมริกาเหนือเพียง 1 สัปดาห์หลังเข้าฉาย ก่อนที่จะทำการตัดรอบฉายใหักับ ‘Oppenheimer’ ที่จะเข้าฉายในโรง IMAX เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคมเป็นต้นไปจริง ๆ แม้ปี 2022 ที่ผ่านมา ครูซจะพา ‘Top Gun: Maverick’ (2022) ทะยานเหนือฟ้าจนสามารถทำรายได้เฉพาะในโรง IMAX เพียงอย่างเดียวกว่า 100 ล้านเหรียญ
แต่เหตุผลที่ทำให้ ‘Mission: Impossible 7′ ได้รอบฉายเหลือน้อย นอกจากภาวะโรคระบาดในช่วงการถ่ายทำ ที่ทำให้สตูดิโออย่าง Paramount Pictures จำเป็นต้องเลื่อนฉายหนังถึง 3 รอบ จากปี 2021 มาจนถึงปี 2023 แล้ว ก็ยังมีเหตุผลทางด้านธุรกิจที่เกิดจากดีลพิเศษระหว่าง IMAX กับสตูดิโอ Universal Pictures ที่สนับสนุนให้โนแลนใช้กล้องฟิล์ม IMAX 65 มม. ในการถ่ายทำตั้งแต่เฟรมแรกจนถึงเฟรมสุดท้าย
ซึ่งแน่นอนว่าก็จะทำให้ ‘Oppenheimer’ ได้สิทธิพิเศษในการฉายในโรง IMAX อย่างน้อย 2 สัปดาห์ในโรงหนังทั่วอเมริกาเหนือ 401 โรง (และมีแค่ 30 โรงที่ได้ฉายในระบบ IMAX ฟิล์ม 70 มม.) ตามธรรมเนียม ส่วน ‘Barbie’ จะไม่มีรอบฉายในระบบ IMAX
โดยเกลฟอนด์ได้กล่าวถึงกรณีนี้กับ Variety ว่า “ผมรู้สึกเศร้าใจเหมือนกันที่เราไม่สามารถรองรับหนังได้ทั้งหมด ผมรู้ดีครับว่า ‘Mission: Impossible’ เป็นหนังที่มีความยิ่งใหญ่จริง ๆ แต่โนแลนซื้อใจเราได้ เพราะเขาใช้กล้องของเรา และโปรโมตให้เรา สำหรับเรา มันไม่สำคัญว่าเราจะทำเงินได้จากหนังเรื่องไหนมากกว่า ซึ่งผมเองก็หวังว่า หลังจาก ‘Oppenheimer’ ฉายจบ เราจะเอา ‘Mission: Impossible’ กลับมาฉายอีกรอบได้”
แม้ว่าโรคระบาด และการเติบโตของบรรดาแพลตฟอร์มสตรีมมิงจะฉุดให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีกำลังซื้อลดลงจริง ๆ ตามที่ Variety ได้รายงานว่าในปี 2019 มียอดการซื้อตั๋วหนังในสหรัฐอเมริกาลดลง 33% แต่ IMAX กลับได้ส่วนแบ่งในตลาดโรงภาพยนตร์ระดับพรีเมียมขนาดใหญ่ (Premium Large Format) ที่มีจำนวนทั้งหมด 900 จอทั่วสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 50% คิดเป็นผลตอบแทนโดยรวมจากรายได้บน Box Office ประมาณ 30-40% โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างโรงใหม่เพิ่ม
ตัวอย่างล่าสุดของหนังที่ทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศของ IMAX ก็คือ ‘Spider-Man: Across the Spider-Verse’ แอนิเมชันสไปเดอร์-แมนเรื่องล่าสุดของ Sony ที่เปิดตัวด้วยรายได้ 120 ล้านเหรียญ จากโรงหนัง 4,313 แห่งในอเมริกาเหนือ ทำรายได้เฉลี่ย 19,736 เหรียญต่อโรงในระบบ 2 มิติปกติ แต่สามารถทำรายได้เฉลี่ย 25,159 เหรียญต่อโรงหนังระดับพรีเมียม 1 โรง และทำรายได้เฉลี่ย 34,214 เหรียญต่อโรงหนังระบบ IMAX 1 โรง
ซึ่งท้าทายแนวคิดที่ว่าตั๋วหนังระดับพรีเมียมมักจะแพงกว่าในระบบปกติ แต่ผู้สร้างหนังที่ต้องการสร้างหนังที่ออกแบบให้ผู้ชมมีประสบการณ์กับหนังจอใหญ่โดยเฉพาะ ทั้งงานด้านภาพ เสียง วิชวลเอฟเฟกต์ รวมทั้งชื่อชั้นของผู้กำกับ ผู้ชมก็ยังพร้อมที่จะยอมจ่ายเงินเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ภาพยนตร์สักครั้งในชีวิต
และแม้ว่าสตูดิโอและแฟรนไชส์หนังยอดนิยมจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อรายได้ แต่ IMAX ก็มักจะให้ความสำคัญกับบรรดาผู้สร้างหนังเป็นหลัก ทั้งโนแลน และ เดอนี วีลเนิฟ (Denis Villeneuve) ผู้กำกับหนัง ‘Dune’ ทั้ง 2 ภาค โดยเฉพาะโนแลน ขาประจำที่มักใช้กล้อง IMAX ในการถ่ายทำหนังเกือบทุกเรื่อง ที่เคยกล่าวชื่นชมว่า IMAX เป็นฟอร์แมตภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่เคยคิดค้นมา และไม่มีเทคโนโลยีใดเทียบชั้นได้
“ในสถานการณ์ขัดแย้งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประสิทธิภาพของแฟรนไชส์ก่อนหน้า งานด้านภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้สร้างภาพยนตร์” เกลฟอนด์กล่าวทิ้งท้าย
แม้รอบฉาย ‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ ในโรง IMAX อาจน้อยเกินไปจนไม่อาจทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่หากมองจากการคาดการณ์การสำรวจที่ The Hollywood Reporter ได้เปิดเผยออกมาว่า แม้จะมีรอบฉาย IMAX ในอเมริกาเหนือมากกว่าหลายเท่า แต่ ‘Oppenheimer’ น่าจะทำรายได้ช่วงเปิดตัวสุดสัปดาห์ได้น้อยกว่า ‘Barbie’ ที่เข้าฉายวันเดียวกัน อันเป็นผลจากตัวหนังที่ยาว 3 ชั่วโมง และได้รับเรต R ที่ส่งผลต่อรอบฉายและจำนวนผู้ชมโดยตรง คงต้องคอยดูกันว่าศึกแย่งจอใหญ่ประจำฤดูกาลซัมเมอร์ปีนี้ ผู้ชมจะให้ความสนใจและยอมจ่ายเงินซื้อตั๋วหนังหนังเรื่องไหนมากกว่ากัน
ที่มา: Variety, Slashfilm, MovieWeb
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส