เกือบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า Joe Biden วัย 77 ปี จากพรรคเดโมแครต จะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีต่อจากนี้ หากไม่โชคร้ายตกไปเป็นเหยื่อของแผนการจากฝั่ง Donald Trump ที่กำลังเดินหน้าไม่ขอยอมรับผลการเลือกตั้งและยื่นฟ้องต่อศาลสูงของสหรัฐฯ อยู่ในตอนนี้ Biden กวาดคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Votes) เกิน 270 เสียง โดยรัฐที่ทำให้เขาทำคะแนนทิ้งขาด Trump คือรัฐเพนซิลเวเนีย หลังจากการนับคะแนนในหลายรัฐ Swing State ทำให้ผู้ติดตามการเลือกตั้งต้องลุ้นไม่เป็นอันกินอันนอน นอกจากนี้ Biden ยังสร้างสถิติใหม่ กวาดคะแนนเสียง Popular Vote เกิน 73.7 ล้านเสียง มากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันแซงหน้าสถิติเดิมของ Barack Obama ที่ทำไว้ 69.49 ล้านเสียง
วันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำความรู้จักกับอดีตรองประธานาธิบดีในสมัย Barack Obama (คนที่ 47 ของสหรัฐฯ) ดำรงตำแหน่งถึง 8 ปีเต็ม ช่วงปี 2009-2017 ปีผู้นี้ให้มากขึ้น เพราะชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสีสัน มีทั้งด้านสว่างและด้านมืด ด้านที่มีความสุขและด้านที่ขมขื่น ไม่แพ้ประธานาธิบดีของสหรัฐคนอื่น ๆ ที่แล้วมา
เคยติดอ่างจนขาดความมั่นใจตอนเด็ก
Joseph Robinette Biden Jr. เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1942 ที่เมืองสเครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย (รัฐ Swing State ที่เป็นตัวแปรสำคัญรัฐหนึ่งอันส่งผลให้เขากำลังจะได้เป็นประธานาธิบดีในปีนี้) เขาโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่ไม่หวือหวา เป็นลูกชายคนโตสุดในจำนวน 3 คนของครอบครัวคาทอลิก
เขาเคยมีอาการพูดติดอ่างในวัยเด็ก ที่ทำให้เขาขาดความมั่นใจในตัวเองอย่างมากในช่วงวัยเยาว์ แต่แม่ของเขาก็คอยให้กำลังใจเขาเสมอ จากนั้นแม่ของเขา จึงส่งเขาไปเรียนการอ่านบทกลอนกับแม่ชีในโบสถ์ และการอ่านกลอนเด็กเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้เขาสามารถกลับมาพูดได้อย่างคล่องแคล่ว มั่นใจ และหายจากอาการติดอ่างได้ในที่สุด หลังจากก้าวขึ้นมาเป็นรองประธานาธิบดี เขาส่งจดหมายถึง Stuttering Foundation of America ที่ช่วยเหลือผู้คนที่มีปัญหาการติดอ่างว่าจะให้การสนับสนุนมูลนิธิอย่างเต็มความสามารถ
หลังจากใช้ชีวิตจนอายุ 10 ปี และโลกกำลังเข้าสู่ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ครอบครัวเขาประสบกับปัญหาการเงินอย่างหนักทำให้ต้องอพยพไปอยู่ที่เมืองเดลาแวร์ เคยฝันอยากเป็นนักฟุตบอล แต่ต้องผันตัวมาทำงานเป็นพนักงานขายรถยนต์เพื่อช่วยครอบครัว
ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ อยากจะเติบโตไปเป็นนักการเมือง เขาเรียนจบปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์จาก University of Delaware และเปลี่ยนมาเป็นสาขานิติศาสตร์จาก Syracuse University เพราะพบว่านักการเมืองในสหรัฐฯ ที่ประสบความสำเร็จมักจะมาเรียนจบด้านกฎหมาย เมื่อเรียนจบเขาก็ทำงานเป็นทนายความฝ่ายจำเลย ซึ่งส่วนมากเป็นลูกความที่ยากไร้และไม่มีเงินจ้างทนายแพง ๆ และในปีถัดมาเขาได้เข้าเป็นสมาชิกสภาเทศมณฑล รัฐเดลาแวร์
เป็นวุฒิสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในยุคนั้น
Biden เริ่มต้นเส้นทางการเมืองในปี 1972 โดยเขาได้รับการเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐเดลาแวร์ ทั้ง ๆ ที่เป็นการท้าชิงตำแหน่งจากนักการเมืองเก่าแก่ในท้องที่ แต่ Biden วัย 30 ปี ก็ได้รับชัยชนะมาอย่างไม่ยากเย็น จริง ๆ แล้วเขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตอนอายุเพียง 29 ปี แต่ต้องรอจนย่างเข้าอายุ 30 เสียก่อนตามกฎหมายในเวลานั้นกำหนดจึงจะเข้ารับตำแหน่งได้
เขาได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐนี้ 6 สมัยต่อเนื่อง เป็นเวลายาวนานกว่า 36 ปี จุดเด่นในการทำงานของ Biden คือการผลักดันกฎหมายมากกว่า 40 ฉบับ เน้นไปที่กฎหมายเกี่ยวกับการต่อต้านการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง และกฎหมายควบคุมอาชญากรรมและความรุนแรง
เขาเคยลงสมัครเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกเมื่อปี 1987 แต่เพราะลีลาการปราศรัยที่ค่อนข้างยืดยาด น่าเบื่อ ชอบพูดนอกเรื่องในตอนนั้น รวมถึงยังมีข่าวว่าเขาลอกสุนทรพจน์นักการเมืองอังกฤษ เขาจึงขอถอนตัวจากการชิงตำแหน่งเป็นตัวแทนพรรคในครั้งนั้นไป
อีกครั้งในปี 2008 เขาเสนอตัวเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ก็ไม่อาจต้านทานกระแสและความนิยมของ Barack Obama ไปได้ นั่นทำให้เขาขอถอนตัวเองออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งเป็นตัวแทนพรรค และ Obama ก็เทียบเชิญให้เขาร่วมท้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีร่วมกับเขาเลยในทันที ต่อมาเมื่อพวกเขาชนะการเลือกตั้ง 2 สมัย ชาวอเมริกันมักจะเรียกคู่หูคู่นี้ว่า “Bromance” ด้วยความที่พวกเขาสนิทกันเหมือนพี่ชายน้องชาย (ถ้าใครเคยดูคลิปที่ Biden ชวน Obama วิ่งออกกำลังกายรอบทำเนียบขาวจะยิ่งเข้าใจอย่างดี) Biden และ Obama ทำงานเข้ากันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ Biden ยังได้รับเหรียญอิสรภาพ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดของสหรัฐฯ จาก Obama อีกด้วย
ตอนปี 2016 เขาเคยถูกถามว่า จะสมัครเป็นผู้ท้าชิงประธานาธิบดีอีกหรือไม่ และคำตอบที่เขาให้ไว้คือ “ผมสามารถตายได้อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องเป็นประธานาธิบดี” แน่นอนว่า ตอนนี้ Biden ได้เปลี่ยนใจแล้วและกำลังจะได้เป็นประธานาธิบดีเข้าแล้วจริง ๆ ซึ่งเขากำลังจะทำลายสถิติเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด ณ วันที่เข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งช่วงเดือนมกราคม ปี 2021
Barack Obama ออกโรงหนุนสุดตัว
ในปี 2019 Joe Biden ประกาศท้าชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตกับ Bernie Sanders ผู้ที่เคยท้าชิงตำแหน่งนี้มาแล้วปี 2016 และพ่ายแพ้ให้กับ Hillary Clinton ช่วงเริ่มต้นของการแข่งขัน แสงไฟได้ถูกฉายไปยัง ม้ามืด 2 คนคือ Pete Buttigieg และ Amy Klobuchar แต่ให้หลังเพียงไม่กี่สัปดาห์ ทั้ง 2 คนต่างก็ถอนตัวและออกมาประกาศให้การรับรอง Biden รวมถึงตัวเต็งคนที่เหลือในสนามอย่าง Michael Bloomberg เศรษฐีเจ้าของธุรกิจสื่อก็ประกาศถอนตัว และรองรับ Biden เช่นกัน
พร้อมกันนั้นก็มีข่าวว่า อดีตประธานาธิบดี Barack Obama ได้พูดคุยกับ Buttigieg เพื่อให้ถอนตัวและให้การรับรอง Biden อดีตรองประธานาธิบดี 2 สมัยของเขา ซึ่งก็หมายความว่า Obama ออกโรงในระดับหนึ่งที่จะกรุยทางให้ Biden ได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก Trump
หากสำรวจแนวนโยบายของ Biden ที่ชูประเด็นเพื่อท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในคราวนี้ จุดขายสำคัญที่ชัดเจนคือ การพุ่งเป้าโจมตีไปที่เรื่องภาวะผู้นำของ Donald Trump ในยามที่ประเทศเผชิญกับวิกฤตการระบาดของโควิด-19 ซึ่ง Biden ชี้ว่า Trump ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพในการควบคุมโรคระบาด และการสื่อสารกับชาวอเมริกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด มากไปกว่านั้น Biden จะสนับสนุนงบประมาณให้มีการตรวจเชื้อโควิดฟรีทั่วประเทศ เพราะในปัจจุบันคนอเมริกันบางส่วนไม่มีประกันสุขภาพจึงไม่กล้าไปตรวจเชื้อ และกลัวจะไม่มีเงินจ่ายค่าตรวจ ทำให้คนที่เป็นโรคบางส่วนไม่ได้รับการวินิจฉัยโรค
นโยบาย Trump เลี้ยวซ้าย Biden เลี้ยวขวา
นโยบายภาคสังคม Biden ก็ขอย้อนกลับไปสู่แนวคิดแบบฝ่ายซ้ายไม่สุดโต่งของเสรีนิยม เขาตอกย้ำว่า เขาเล็งเห็นความสำคัญของการยุติ “ฤดูกาลแห่งความมืดมนอันยาวนาน” ของยุคสมัย Donald Trump ที่ประชาชนชาวอเมริกันต้องอดทนมานานถึง 4 ปีเต็ม
ส่วนนโยบายเศรษฐกิจ Biden ชูเรื่องนโยบาย Buy Americans มูลค่า 700,000 ล้านเหรียญฯ กระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาจากโควิด-19 โดยจะลงทุนกับโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่มีข้อกำหนดว่าอุปกรณ์ เครื่องมือ วัตถุดิบที่ใช้ทั้งหมดต้องซื้อภายในประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเดียวกับที่ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ทำเหมือนกัน สมัยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ เมื่อปี 1930 แม้ว่าโดยผิวเผินจะมีความคล้ายคลึงกับนโยบายของรัฐบาล Donald Trump ในช่วงที่ผ่านมา แต่สิ่งที่แตกต่างไป ก็คือ Biden จะยกเลิกกฎหมายลดภาษีนิติบุคคลที่ออกโดย Trump ในปี 2017 ซึ่งน่าจะทำให้รัฐบาลกลางเก็บภาษีได้เพิ่มหลายแสนล้านเหรียญฯ จากกลุ่มทุนและกลุ่มคนรวย ขณะเดียวกันผลเสียก็จะตกกับตลาดหุ้นและภาคเศรษฐกิจเช่นกัน
นโยบายสำคัญอีกหนึ่งนโยบายที่เกี่ยวพันกับเศรษฐกิจและนโยบายต่างประเทศคือ เรื่องสนามการค้า Biden เชื่อว่าการค้าแบบเสรีจะนำไปสู่ความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจทั้งโลก การตั้งกำแพงภาษีสู้กันอย่างดุเดือดเหมือนที่ Trump ทำกับประเทศจีน ท้ายที่สุดจะพังกันทั้งสองฝ่ายและเสียมากกว่าได้ Biden เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาจะยกเลิกสงครามการค้ากับจีนอย่างแน่นอน หากเขาเป็นประธานาธิบดี เขาจะให้อเมริกาเป็นตำรวจโลก แผ่อิทธิพลไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ของอเมริกา
นโยบายนี้ประธานาธิบดีทุกคนของสหรัฐฯ ดำเนินมาตลอดตั้งแต่สมัยสงครามเย็น จนกระทั่ง Trump ใช้นโยบายต่างประเทศแบบโดดเดี่ยวเป็นคนแรก คาดว่า ถ้า Biden ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและระหว่างประเทศน่าจะกลับไปสู่ระดับปกติก่อนที่สงครามการค้าจะระอุเหมือน 4 ปีที่ผ่านมา หมายความว่า ไม่ใช่จะไม่มีการแข่งขันและเลิกมองจีนเป็นศัตรูทางการค้าเลย แต่จะกลับไปสู่ระดับปกติของสงครามการค้าระหว่างชาติมหาอำนาจทั่วโลก (ผลสำรวจของชาวอเมริกันออกมาว่า 60% ยังคงมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจอยู่)
เคยสนับสนุนสงครามอิรัก และมีประวัติลวนลามผู้หญิง
แม้ว่าปัจจุบันเขาจะมีแนวคิดเสรีนิยม แต่ในอดีตยุคทศวรรษ 70s เขาเคยแสดงท่าทีเข้าข้างผู้เคลื่อนไหวแบ่งแยกเชื้อชาติในรัฐทางใต้ของสหรัฐฯ กับแนวคิดที่ไม่เห็นด้วยกับการให้เด็กผิวขาวและผิวดำนั่งรถโรงเรียนร่วมกันได้
แนวคิดด้านการต่างประเทศของเขา มีความกลับไปกลับมาตลอดชีวิตที่ทำหน้าที่วุฒิสมาชิก เขาลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมสงครามอ่าว (Gulf War) ของสหรัฐฯ เมื่อปี 1991 แต่กลับลงคะแนนเสียงเห็นด้วยกับการบุกอิรักในปี 2003 และในเวลาต่อมาเขากลับมาวิพากษ์วิจารณ์การเข้าไปแทรกแซงการปกครองอิรักของสหรัฐฯ เขายังเป็นหนึ่งในผู้แนะนำให้ประธานาธิบดี Obama ส่งกองกำลังพิเศษซึ่งไปสังหาร Osama bin Laden ผู้นำกลุ่มอัลไคดาที่ออกมาประกาศตัวว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมถล่มสหรัฐฯ 11 กันยายน 2001 ได้สำเร็จ
นอกจากนั้น เป็นที่รู้กันว่า Biden นั้นมีจุดอ่อนเรื่องการปราศรัย การพูด หรือการให้สัมภาษณ์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อตัวเอง เวลาปราศรัยหาเสียงเขามักติดลมจนพูดออกนอกบทบ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่าบรรพบุรุษเขาเป็นคนงานเหมือง และเขาก็รู้สึกโกรธที่พวกเขาไม่ได้รับโอกาสในชีวิตอย่างที่สมควรแต่ก็มีคนสืบทราบมาได้ทีหลังว่า บรรพบุรุษเขาไม่ได้เป็นคนงานเหมืองจริง และเขาไปขโมยสุนทรพจน์นั้นมาจากนักการเมืองอังกฤษอีกที
เมื่อปี 2009 ช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เขาเคยทำให้ประชาชนตกใจด้วยการบอกว่า มีโอกาส 30 เปอร์เซ็นต์ ที่รัฐบาลจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาด นอกจากนี้ Biden เคยบอกว่า เขาคนติดอ่างตอนเด็ก ๆ ทำให้เขาไม่ชอบอ่านบทจากเครื่องบอกบท และเลือกที่จะพูดจากความคิดของเขามากกว่าการพูดจากสคริปต์
รอยด่างพร้อยหรือมลทินของ Biden ที่ในแง่นี้จะทำให้เขาดูเป็นวายร้ายต่อเพศหญิงไม่ต่างจาก Trump เขาเคยถูกกล่าวหาจากผู้หญิง 8 คน ที่ออกมาบอกว่าถูก Biden สัมผัส กอด และจูบ พวกเธออย่างไม่ เหมาะสม และรายการข่าวต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ก็แสดงคลิปวิดีโอตอนเขาถึงเนื้อถึงตัวผู้หญิงเวลาออกงานสังคม ซึ่งรวมไปถึงการชอบดมผมผู้หญิงหลาย ๆ ครั้ง Tara Reade อดีตผู้ช่วยเขาก็เคยออกมากล่าวหาว่า ถูก Biden ล่วงละเมิดทางเพศเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่เขาก็ปฏิเสธว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
เมียและลูกตายในเดือนแรกหลังเป็นวุฒิสมาชิก
ในด้านครอบครัวของ Joe Biden ก็เป็นอีกหน้าหนึ่งของชีวิตเขาที่ต้องถูกจัดระดับความดราม่าไว้ที่คำว่า “โศกนาฏกรรม” หลังจากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสมัยแรก ปี 1972 เพียงแค่ 1 เดือน Neilia Hunter Biden ภรรยาคนแรกก็ประสบอุบัติเหตุขณะขับรถพาลูก ๆ ทั้ง 3 คนไปช็อปปิ้งซื้อต้นคริสต์มาส ตั้งใจจะมาฉลองกันในครอบครัว แต่เกิดชนเข้ากับรถพ่วงกลางสี่แยก ทำให้ Neilia และ Naomi ลูกสาวคนเล็กเสียชีวิต ส่วนลูกชาย 2 คน บาดเจ็บสาหัส กระดูกแตก ศีรษะร้าว แต่ก็รอดชีวิตมาได้
ในตอนนั้นเขาอยากจะลาออกจากการทำหน้าที่วุฒิสมาชิก แต่ก็ถูกทัดทานเอาไว้จากผู้ใหญ่หลายคน เขาจึงทำหน้าที่ต่อ และภาพจำผ่านสื่อก็คือ Biden ทำพิธีสาบานตนเป็นวุฒิสมาชิกข้างเตียงพยาบาลของลูกชายคนโตที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในโรงพยาบาล จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เขายังเดินทางไปกลับกรุงวอชิงตันดีซีและรัฐเดลาแวร์ เที่ยวละ 90 นาทีตลอดความยาว 173 กิโลเมตรเกือบทุกวันโดยรถไฟเพื่อใช้เวลาดูแลลูกชายทั้งสองจนเขารู้จักกับพนักงานรถไฟทุกคนเป็นอย่างดี จนได้รับฉายาว่า “Amtrak Joe” เพราะเขานั่งรถไฟ Amtrak ทุกวันนี้ เขายังคงใช้บริการรถไฟเป็นบางครั้ง เพราะสะดวกกว่าขับรถ
เขาแต่งงานใหม่กับ ภรรยาคนที่ 2 ในปี 1979 Jill Jacobs หญิงสาวที่ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างเขา โดยเธอเคยให้สัมภาษณ์ถึงการเข้ามาโอบอุ้ม Biden จากการสูญเสียภรรยาและลูกว่า เราเพียงแค่ช่วยกัน ซ่อมแซม ปะรอยร้าว เช่นเดียวกันกับวิธีที่เราใช้เชื่อมสิ่งที่แยกออกจากกัน นั่นคือการใช้ความรัก
ต่อมาในปี 2015 Beau หนึ่งในลูกชายผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์เสียชีวิตด้วยอาการเนื้องอกในสมอง ในวัย 46 ปี และก็เป็น Obama ที่อยู่เคียงข้างและช่วยให้เขาผ่านอุปสรรคครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิตอีกครั้งหนึ่งมาได้ Biden ตั้งใจจะขายบ้านหลังแรกที่เขาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงเพื่อจะให้เงินกับลูกสะใภ้ไว้ใช้ดำเนินชีวิต แต่เมื่อ Obama ทราบเรื่อง ก็ตัดสินใจมอบเงินเท่ากับราคาที่บอกขายให้กับลูกสะใภ้ของ Biden เพื่อจะได้ไม่ต้องขายบ้านหลังนั้น แต่สุดท้าย Biden ก็ขอไม่รับเงินจากอดีตประธานาธิบดี
Hunter Biden ลูกชายเผชิญข้อหาทุจริตในยูเครน
ส่วน Hunter ลูกชายอีกคนก็ตกเป็นข่าวกรณีอื้อฉาวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาการติดเหล้าร่วมกับการใช้ยาเสพติด และการพัวพันกรณีทุจริตกับมหาเศรษฐีด้านพลังงานชาวจีน Hunter ทำงานอยู่ในประเทศยูเครน ซึ่งในเวลาต่อมามีการเปิดเผยข้อมูลจากสื่อมวลชนว่า Trump ได้โทรไปหาประธานาธิบดียูเครน และขอให้เขาช่วยสอบสวน Joe Biden และ Hunter ว่าไปมีส่วนพัวพันในข้อหาทุจริตคอรัปชั่น
Hunter กล่าวยอมรับว่า ตนตัดสินใจผิดพลาดที่คิดว่าการดำเนินธุรกิจของเขา จะไม่ส่งผลกระทบต่อบิดา ที่ลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ยังคงยืนยันว่าการกระทำของตนมิได้ผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรม ปัจจุบัน Hunter ที่อายุ 49 ปี ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารของบริษัทพลังงานยูเครนที่ชื่อว่า Burisma มาตั้งแต่ช่วงที่ Joe Biden เป็นรองประธานาธิบดีในสมัยประธานาธิบดี Obama
ประธานาธิบดี Trump ใช้จุดอ่อนเรื่องนี้กล่าวหา Joe Biden ว่า เมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เขาและผู้นำโลกตะวันตกรายอื่นได้ทำการกดดันให้ยูเครนปลดอัยการสูงสุดของประเทศ เพียงเพราะต้องการปกป้องลูกชายของตนจากข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่น Trump ยังเรียกร้องให้ประธานาธิบดียูเครนในเวลานั้นอย่าง Volodymyr Zelensky ยื่นมือเข้าสืบสวน Joe Biden และบุตรชาย ด้วย นอกจากนี้ Trump ยังกล่าวโจมตี Hunter อีกว่าได้ใช้เครื่องบิน Air Force Two ของรองประธานาธิบดีสหรัฐในการเดินทางไปจีนเมื่อปี 2013 เพื่อจัดหาเงิน 1,500 ล้านเหรียญฯ จากประเทศจีนเข้ากองทุนส่วนตัวที่ Hunter เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นอีกด้วย
Jill Jacobs คู่ทุกข์คู่ยากของ Biden
Jill Biden มีชื่อเดิมว่า Jill Tracey Jacob เกิดที่รัฐนิวเจอร์ซี่ แต่ไปเติบโตโตที่รัฐเพนซิลวาเนีย ครอบครัวของเธอมีพี่น้องรวมกัน 5 คน เป็นผู้หญิงทั้งหมดโดยมี Jill เป็นพี่สาวคนโตของบ้าน ในช่วงวัยรุ่น Jill มีความฝันอยากทำงานด้านแฟชั่น แต่หลังจากเรียนไปได้สักพักก็เปลี่ยนสายมาเรียนด้านภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ ซึ่งเธอคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองมากกว่า หลังจากนั้นความสวยของเธอ ก็ไปเข้าตาเอเจนซีโฆษณาจนเธอได้ไปถ่ายแบบโฆษณาในช่วงนั้นอยู่หลายชิ้น
Jill ยังเคยพบรักและแต่งงานกับ Bill Stevenson สามีคนแรกดีกรีเป็นถึงนักฟุตบอลทีมมหาวิทยาลัย แต่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้เพียง 2 ปี ก็ต้องแยกทางกัน (Stevenson สามีคนแรกของ Jill ออกมาให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้งว่า Biden เข้ามาแย่ง Jill ไปตอนที่เขากับ Jill ยังไม่เลิกกัน) จนกระทั่งวันหนึ่ง Frank เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ก็มาติดต่อทาบทามเธอให้กับพี่ชายของเขา ทำให้ Jill สงสัยว่า พี่ชายของ Frank มาสนใจเธอได้อย่างไร คำตอบก็คือ เขาได้เห็นรูปของJill ที่ได้ไปถ่ายแบบโฆษณาติดไว้ข้างรถเมล์ พอเขามาเล่าให้น้องชายฟังจึงได้รู้ว่า เธอเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันนี้เอง
ช่วงที่ Joe Biden ตัดสินใจขอนัดพบเพื่อทำความรู้จักกับ Jill นั้น เขาดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกในเดลาแวร์แล้ว และได้สูญเสียภรรยาคนแรกและลูกสาวจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อ 3 ปีก่อน ระหว่างนั้นเขายังไม่ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับใคร แถมยังมีภาระต้องเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ดูแลลูกชายอีก 2 คนที่คนหนึ่งก็ได้รับบาดเจ็บอย่างมากจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น Biden คิดจะลาออกจากการเล่นการเมืองมาดูแลลูก แต่ผู้บริหารพรรคเดโมแครตได้ทักท้วงไว้
Jill เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเธอกับ Biden ว่า วันนั้นเขาแต่งตัวเชยมากและเธอเองก็ตกใจที่เขาอายุมากกว่าเธอถึง 9 ปี แต่เธอก็ประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นคนขี้เล่น ดูแลเธอในวันแรกเจอเป็นอย่างดี แต่กว่าความรักจะสุกงอมและได้แต่งงานกัน ทั้งคู่ก็ใช้เวลาเกือบ 2 ปี เพราะJill อยากจะให้ลูกชายของ Biden ทั้ง 2 คนที่เพิ่งสูญเสียแม่ไปได้ไม่กี่ปี พร้อมมากที่สุดสำหรับการที่เธอจะก้าวเข้ามาในครอบครัว เธอจึงเลือกปฏิเสธคำขอแต่งงานของ Biden ไปถึง 5 ครั้ง จนกระทั่งวันที่ลูกชายทั้งสองคนบอก Biden ว่า ขอให้พ่อแต่งงานกับ Jill ถ้าจะทำให้พ่อมีความสุข
Jill และ Joe แต่งงานกันในปี 1977 และมีลูกสาวด้วยกันอีก 1 คน ชื่อว่า Ashley ชีวิตครอบครัวครั้งใหม่ของพวกเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้น เธอทั้งหน้าที่ภรรยา แม่ และยังทำงานเต็มเวลาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยม แค่นั้นยังไม่พอ เธอยังแบ่งเวลาไปเรียนต่อจนถึงระดับปริญญาเอกด้วย โดยในวันที่เธอจบการศึกษาปริญญาเอกด้านการศึกษา ของมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ Biden เป็นคนมอบใบปริญญาบัตรให้เธอด้วยมือของเขาเอง
จนกระทั่งเธอได้เป็นสุภาพสตรีหมายเลข 2 เมื่อ Biden ได้เป็นรองประธานาธิบดี เธอก็ยังไม่เคยทิ้งการสอนที่ Northern Virginia Community College และกลายเป็นสุภาพสตรีแห่งทำเนียบขาวคนแรกที่ยังคงทำงานประจำขณะยังอยู่ในตำแหน่ง นอกจากนั้น Jill ยังขอให้มีการระบุชื่อของเธอเพียงแค่ Dr. B ในผลงานทางวิชาการเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่า เธอใช้ความเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 2 มามีอิทธิพลเหนืองานวิชาการ (ลูกศิษย์ในชั้นเรียนบางคนยังไม่รู้เลยว่า อาจารย์ที่สอนอยู่เป็นถึงสุภาพสตรีหมายเลข 2)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส