หลังจากเป็นคดีความที่เดินเรื่องยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปี เมื่อร้านขายแผ่นหนังละเมิดลิขสิทธิ์ฟ้อง “หนุ่ย พงศ์สุข” ในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะโพสต์เรื่องร้านนี้ในห้างดังลงเฟซบุ๊ก (อ่านข่าวเก่าจากการโพสต์เฟซบุ๊กสู่การโดนหมายเรียก) จนเข้าพบพนักงานสอบสวนและมีความคืบหน้าของคดีเรื่อยมา (อ่านข่าวเก่าที่โดนร้านค้าเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 2 ล้านบาท) และล่าสุดในวันนี้เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องร้องในคดีนี้ครับ
ผมรับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่อยู่อเมริกา แต่ต้อง #มาให้เห็นกับตา ถึงจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันได้ครับ
ขณะนี้ผมพ้นมลทินจากการถูกฟ้องร้องให้เป็นคดีโดยเจ้าของร้านขายซีดีละเมิดลิขสิทธิ์แล้วนะครับ
อัยการแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องด้วยคำวินิจฉัยในกรอบสีแดง (ดูกรอบ)
ผมขอกราบขอบพระคุณทุกฝ่ายที่พิจารณาความถูกต้องนี้ให้กับผมและกับสังคมด้วย
ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่รัฐทุกองค์กรที่ (จำ) ต้องแวะเวียนไปพบหลายครั้ง ขอบคุณครอบครัวเช่นกันที่ได้ให้กำลังใจยามไปพบเจ้าพนักงานทุกครั้ง รวมถึงญาติ พี่ น้อง เพื่อน มิตรใกล้ชิดที่ได้มอบคำดี ๆ ให้ ตลอดจนเพื่อนแท้อย่าง #สหมงคลฟิล์ม ที่จัดทำรายงานความหนา 21 หน้าอธิบายถึงแผ่นแท้-เทียมเมื่อเทียบกับภาพที่ผมเคยโพสต์รายงานความไม่ถูกต้องอันนี้แล้วต้องมาเป็นคดี เพื่อให้เจ้าพนักงานเห็นและนำส่งให้อัยการพิจารณา
และขอบคุณไปถึงทนายความ พี่ Pitsanu Panichsuk ที่ใช้เวลาในชีวิตไปมากกับคดีนี้ (ดูคลิปความในใจของทนายพิษณุ)
ผมได้ตัดสินใจร่วมกันกับทนายความของผมอย่างแน่วแน่แล้วที่จะ #ไม่ฟ้องกลับ ผู้กล่าวหารายนี้ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว… ทั้งนี้เพราะผมพิจารณาแล้วว่าหากผมจะต่อความยาวสาวความคดี ก็จะเป็นการสูญเสียเวลาของเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้นไปอีก ซึ่งยังมีพี่น้องประชาชนอีกมากที่ต้องการเวลาในการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่
ส่วนสิ่งที่จับต้องได้และไม่อยากให้สูญเสียอีกคือทรัพยากรทั้งกระดาษ+หมึกจำนวนมาก ซึ่งหากคุณได้เห็น ‘ตับเอกสาร’ ในคดีนี้แล้วคุณก็จะคิดเหมือนผมครับ
และสุดท้าย… ผมไม่ต้องการใช้เวลากับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้วเพื่อทำตามศัพท์ฮิตครับคือ #มูฟอร (Move On)
ค่าใช้จ่ายในการตกเป็นคดีที่ผมใช้ไปเพื่อพิสูจน์ความติชมโดยสุจริตครั้งนี้คือ 120,600.-บาท ไม่รวมค่ารถและค่าเวลาซึ่งประเมินมูลค่าได้ยาก
รายจ่ายส่วนใหญ่คือค่าใช้จ่ายทนายความซึ่งคิดคำนวนจากชั่วโมงทำงานและคดีนี้จำเป็นต้องใช้จำนวนชั่วโมงทำงานที่มากเพื่อให้หมดไปกับการ “รอ”
ผมยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของทนายความคือไม่เปิดเผยรายชื่อของผู้กล่าวหาเพื่อให้ทุกอย่างจบลงอย่างสนิทได้จริง …
ผมขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้ทั้งกับต่อหน้าต่อตากันเมื่อเจอตัวและในเครือข่ายสังคมออนไลน์ครับ
กำลังใจทั้งหมดมีความหมายกับผมมากในการดำเนินชีวิต ทำให้ผมคงไว้ซึ่งจิตสำนึกในการทำสิ่งที่ถูกต้องต่อสังคมต่อไปครับ
จึงขอรายงานเรื่องนี้ให้ทุกท่านได้ทราบ ณ โอกาสนี้ เพราะทุกวันนี้ แม้คดีเกิดขึ้นมานาน ก็ยังมีผู้เดินมาถามผมว่า “จบยังไง?”
มันจบแบบนี้ครับ… ????????❤️❤️❤️❤️
… ผมว่ามันจบได้ดีนะ ????????????
#ผลกระทบระบบกล่าวหา