เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2022 ที่ผ่านมา Xiaomi Group ได้เปิดเผยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Xiaomi Pilot Technology ที่ศูนย์ R&D ด้านเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติแห่งแรกของบริษัท และเป็นอัปเดตการดำเนินงานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประกาศเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบเมื่อเดือนมีนาคม 2021

แผนดังกล่าวเป็นการลงทุนมูลค่ามหาศาลถึง 3,300 ล้านหยวน หรือประมาณ 116,700 ล้านบาท เพื่อสร้างศูนย์ R&D ด้านเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ และได้จัดตั้งทีม R&D ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมากกว่า 500 คน รวมถึงการเข้าซื้อกิจการต่าง ๆ เพื่อสร้างขีดความสามารถในอุตสาหกรรมยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติให้ครอบคลุมทุกด้านในระยะยาว

Xiaomi

ทีมพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติที่มีจำนวน 500 คนนั้น ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมจำนวน 50 คน ซึ่งได้จัดตั้งทีมหลัก และทีมการเรียนรู้พื้นฐานพิเศษ โดยสมาชิกของทีมจะมีประสบการณ์การทำงานด้าน AI ให้แก่บริษัทที่มีชื่อเสียงมาก่อน

ความเชี่ยวชาญของทีมดักล่าวนี้จครอบคุมการพัฒนาในทุก ๆ ด้านที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ เช่น เซนเซอร์, ชิป, อัลกอริทึม, การจำลองสถานการณ์, แพลตฟอร์มข้อมูล และอื่น ๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ Xiaomi ได้เปิดเผยวิดีโอทดสอบเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ, สาธิตการทำงานของอัลกอริทึมสุดล้ำ และความสามารถในการรับมือกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันมากมาย โดยได้แสดงให้เห็นว่ารถยนต์สามารถแล่นได้อย่างแม่นยำ ทั้งการยูเทิร์น, การขับเวียนเป็นวงกลม และการขับรถลงเนินเขาอย่างต่อเนื่อง

Xiaomi

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาการจอดรถอัตโนมัติในพื้นที่ที่ได้รับการออกแบบสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ รวมถึงแขนหุ่นยนต์ช่วยในการชาร์จไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยในอนาคตจะมีการสร้างที่พื้นที่จอดพร้อมชาร์จไฟให้แก่รถยนต์ไฟฟ้า โดยผสาน AI เข้ากับการให้บริการมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับกฏหมายและข้อระเบียบของประเทศให้มากที่สุด

เหลย จุน (Lei Jun) ผู้ก่อตั้ง, ประธาน และซีอีโอของ Xiaomi Group ได้กล่าวว่า “เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Xiaomi เป็นเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น และโปรเจ็กต์มีความคืบหน้าไปมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้”

เขาได้กล่าวเสริมว่า “Xioami มีแผนจะสร้างรถยนต์เพื่อใช้ในการทดสอบเทคโนโลยีของตนชุดแรกจำนวน 140 คัน และตั้งเป้าจะเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะภายในปี 2024”

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส