ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้นำในด้านการส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกมาสักพัก ด้วยสถิติ 3.5 ล้านคันในปี 2022 รวมถึงยอดขายรถยนต์สูงสุดตลอดปีมักจะตกเป็นของรถจากญี่ปุ่นแทบทั้งสิ้น (ยกเว้นไตรมาสแรกของปี 2023 ที่ถูก Tesla Model Y แซงหน้าไปได้) อย่างไรก็ตามสถิติมีไว้ให้ทำลายเสมอ เมื่อญี่ปุ่นถูกผู้นำอุตสาหกรรมรถยนต์รายใหม่อย่างจีน แซงหน้ายอดส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ของโลกกว่า 2.34 ล้านคันในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
มีตัวเลขเปิดเผยออกมาว่าประเทศจีนส่งออกรถยนต์กว่า 2.34 ล้านคันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2023 (2.65 ล้านคันในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2023) คิดเป็นอัตราเติบโต 76.9% ในช่วงเวลาเดียวกันจากปีก่อน (ข้อมูลล่าสุดจากกรมศุลกากรจีน) ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นส่งออกเพียง 2.02 ล้านคัน เพิ่มขึ้นเพียง 17% (ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น)
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะความต้องการรถพลังงานใหม่ (New Energy) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดจากยุโรป รวมถึงความขาดแคลนรถสันดาปของรัสเซีย ซึ่งจีนเป็นมหาอำนาจในด้านนี้อยู่แล้ว การส่งออกรถพลังงานใหม่มากถึง 800,000 คัน จากจำนวน 2.34 ล้านคัน คิดเป็น 34% ของการส่งออกรถทั้งหมด และเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน (เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 770,000 คัน เติบโต 113% เมื่อเทียบกับปีก่อน)
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของจีนที่มีการส่งออกมากที่สุดคือ SAIC Motor จำนวน 483,000 คัน ตามมาด้วย Chery Holding Group จำนวน 394,000 คัน และอันดับที่ 3 ตกเป็นของ Tesla จำนวน 182,000 คัน ส่วนประเทศที่ให้ความสนใจในเรื่องรถพลังงานใหม่ ได้แก่ เบลเยียมและสหราชอาณาจักรนำเข้ารถ EV จากจีนกว่า 100,000 คัน เช่นเดียวกับสเปน 70,000 คัน และอิตาลีกว่า 50,000 คัน
นอกจากนี้ประเทศที่ยังคงนำเข้ารถยนต์สันดาปและทำให้ตลาดส่งออกรถน้ำมันในจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดคือ รัสเซีย ที่นำเข้ารถจากจีนเพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ที่เป็นเช่นกันเพราะผู้ผลิตหลายประเทศระงับการส่งออกรถไปยังรัสเซีย เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เช่น Honda Motor ของญี่ปุ่น, BMW ของเยอรมนี และ General Motors ของอเมริกานั่นเอง เราต้องมาดูกันว่าญี่ปุ่นจะแก้เกมครั้งนี้อย่างไร ก่อนที่จะตกเป็นของจีนไปตลอดกาล
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส