27 ก.ค. ฺBMW ได้ประกาศกลยุทธ์ว่าจะปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าใน 5 Series, 7 Series และ X1 จำนวน 25 รุ่นออกสู่ท้องถนนในปี 2023 โดยจะมีให้เลือก 4 เทคโนโลยีด้วยกัน คือ รถยนต์ไฟฟ้าที่เต็มรูปแบบ, Plug-in hybrid, เครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซินพร้อมด้วย Mild-hybrid 48V (ดีเซลจะไม่มีในสหรัฐฯ) และครึ่งหนึ่งของทั้งหมดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (BEV)
วัตถุประสงค์เพื่อต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ลง 40 เปอร์เซ็นต์ต่อกิโลเมตรของการวิ่ง โดยในอีก 10 ปีกลุ่ม BMW มีเป้าหมายจะปล่อยรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 7 ล้านคันออกมาวิ่งบนถนนและประมาณ 2 ใน 3 ของทั้งหมดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เต็มรูปแบบ เพื่อให้เป็นไปตามกฎของสหภาพยุโรปที่กำหนดให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 37.5% ภายในปี 2030
นอกจากนี้ BMW ยังมีมาตรการลดการปล่อยมลพิษอื่น ๆ อีก เช่น ผู้บริหารจะถูกวัดผลได้โบนัสตามการลดก๊าซมลพิษ, การปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จากการผลิตและสถานที่ดำเนินงานให้ลดลง 80% ต่อคัน, เลือกซัปพลายเออร์ด้วยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิต และจะเพิ่มเทคโนโลยี eDrive Zones ให้รถยนต์สลับมาทำงานในโหมดไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อวิ่งเข้ามาในเมือง
BMW พร้อมที่จะเริ่มปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบภายในสิ้นปี 2021 โดยมี 5 รุ่นด้วยกัน คือ BMW i3, Mini Cooper SE, BMW iX3, BMW iNEXT และ BMW i4
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ BMW เปิดเผยว่าจะเพิ่มทีมผลิตมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานบาวาเรียประเทศเยอรมนีภายในสิ้นปีนี้เป็น 1,400 คน และจะเพิ่มพนักงานขึ้นเป็น 2,000 คนที่ทำในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้า โมดูลแบตเตอรี และแบตเตอรีแรงดันสูงเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้สอดคล้องกับกฎการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของสหภาพยุโรป ซึ่งเชื่อว่า BMW จะไปถึงเป้าหมายตามแผนที่ได้จัดเตรียมไว้
ที่มา : press.bmwgroup.com, engadget และ autoblog
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส