2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของโควิด-19 ระบาดแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ ยังขาดรายได้มหาศาล การกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งก็เป็นอีกหนึ่งความหวังของผู้ประกอบการที่ยังเหลือและรอดจากสถานการณ์ที่ผ่านมา ยิ่งเป็นเมืองรองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักแล้วโอกาสที่คนจะสนใจยิ่งน้อยลง สังเกตว่าคนส่วนใหญ่เวลาไปเที่ยวมักจะหาสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังโดยมักจะมองข้ามสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นทางผ่าน ทำให้โอกาสการพัฒนาของเมืองรองช้าลงเรื่อย ๆ ยิ่ง
หลายหน่วยงานพยายามช่วยเหลือและร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อกระตุ้นการรับรู้ให้กับประชาชน ล่าสุดดีแทคจับมือสถาปัตย์ จุฬาฯและบุญมีแล็บ ร่วมวิจัย “ศักยภาพการท่องเที่ยวจังหวัดเมืองรองจาก Mobility data” ซึ่งค้นพบคำตอบกับ 3 แนวทางสำคัญส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองในประเทศ ได้แก่ 1. การดึงดูดการท่องเที่ยวระยะใกล้หรือ Micro-tourism 2. การส่งเสริมการค้างคืนเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ และ 3. การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัด นักวิชาการชี้ที่ผ่านมาท่องเที่ยวไทย “ขาดสมดุล” หนุนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวเมืองรองสร้างท่องเที่ยวไทยให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน
ข้อมูล Mobility Data ฟื้นฟูการท่องเที่ยว
คุณ ชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เล่าว่า โครงการวิจัยศักยภาพการท่องเที่ยวจังหวัดเมืองรองจาก Mobility data เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และเอกชนในการนำร่องใช้ Mobility data เพื่อประโยชน์สาธารณะ โจทย์การวิจัยครั้งนี้เน้น ‘ฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว’ หลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติโควิด-19 เป็นระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา
เพื่อให้กระบวนการออกแบบนโยบายมีประสิทธิภาพมากขึ้น “ข้อมูล” เชิงพฤติกรรม จึงสำคัญ โดยเฉพาะ Mobility data ที่มีข้อได้เปรียบและศักยภาพมหาศาล โดยเฉพาะความสามารถประเมินสถานการณ์การเดินทาง และการกระจุกตัวของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และสามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่ได้หลากหลายระดับ
“ภาคส่วนต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวควรใช้วิกฤตินี้ในการ รีเซ็ต เพื่อทำความเข้าใจและสร้างสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวในประเทศและระหว่างประเทศ สนับสนุนการเติบโตซึ่งกันและกัน นำมาสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เข้มแข็งและยั่งยืน” ชารัด กล่าว
สร้างสมดุลกระจายรายได้
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า แม้การท่องเที่ยวจะเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก แต่ที่ผ่านมาผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่เพียงในบางจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก การระบาดของโรคโควิด 19 ยังสร้างผลกระทบต่อภาคการค้าการบริการและการท่องเที่ยวในประเทศเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศ และจากต่างประเทศ กำลังเพิ่มปริมาณมากขึ้นจากการลดลงของโรคระบาด จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะสร้าง “สมดุล” ระหว่างการกระจายนักท่องเที่ยวและผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไปสู่จังหวัดที่เป็นเมืองรองด้านการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนสามารถกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นและชุมชนได้มากยิ่งขึ้น
การวิจัยโดยใช้ข้อมูลการเคลื่อนที่หรือ Mobility data ระหว่างเดือนมิถุนายน 2563 ถึงตุลาคม 2564* พบว่า ผู้เดินทางในภาพรวม เป็นเพศชายราว 40% เพศหญิงราว 35% และไม่ได้ระบุเพศ 25% โดยส่วนใหญ่มีถิ่นพำนักในกรุงเทพฯ ถึง 54% ทั้งนี้ นักเดินทางท่องเที่ยว 47% มีอายุระหว่าง 21-40 ปีหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ตามด้วยวัยกลางคน (41-60 ปี) มีสัดส่วนที่ 35% วัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) 14% และวัยเด็กและเยาวชน (ต่ำกว่า 20 ปี) ที่ 4% นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงลักษณะนักท่องเที่ยวในช่วงการระบาดโควิด-19 พบว่ามีลักษณะเป็นการเดินทางแบบพักค้างถึง 67% และการเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับ 33%
สรุป 3 แนวทางเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง
- การส่งเสริม Micro tourism หรือการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับในระยะการเดินทางประมาณ 150 กิโลเมตร หรือใช้เวลาเดินทางราว 1-2 ชั่วโมง เพื่อมาร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้รวมถึงบริโภคสินค้าและบริการของท้องถิ่น
- การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบค้างคืนเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ (Experience-based overnight tourism) เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการกระจายผลลัพธ์เชิงบวกจากการท่องเที่ยวสู่เมืองรอง เนื่องจากการท่องเที่ยวแบบค้างคืนเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายและเวลาพำนักของนักท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวและเพิ่มโอกาสในการบริโภคสินค้าและบริการในท้องถิ่นเพื่อกระจายรายได้ให้กับผู้ประกอบการและชุมชน
- การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัด (Tourism Cluster) เป็นแนวคิดการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนากิจกรรมและเส้นทางการท่องเที่ยวร่วมกันระหว่างกลุ่มจังหวัดเมืองรองที่นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเดินทางไปเยือนในการเดินทางท่องเที่ยว 1 ทริป เพื่อเพิ่มทางเลือกในเป้าหมายการเดินทางท่องเที่ยวให้กับผู้มาเยือน ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนพื้นที่ เพิ่มการใช้เวลาในการท่องเที่ยวภายในประเทศ และกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนและท้องถิ่นในจังหวัดเมืองรอง
การพัฒนา Micro-tourism
รูปแบบ Mobility data ถือเป็นการท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับนี้เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลายประเทศให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวภายในประเทศที่สามารถสร้างการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นมีความพยายามโดยภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับภายใต้แนวคิดการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ Micro-tourism หรือการส่งเสริมประชาชนเดินทางท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ธรรมชาติ สวนเกษตรกรรม และเมืองเก่าในต่างจังหวัดที่ตั้งอยู่โดยรอบถิ่นที่อยู่ของตนในระยะเดินทางที่ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง
แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการที่ประเทศญี่ปุ่นมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศคิดเป็น 60% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด จึงเกิดเป็นแนวคิดในการกระตุ้นให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ มากขึ้น ภายใต้แนวคิดการส่งเสริม Exchange population หรือ ประชากรที่ก้าวข้ามถิ่น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นเพื่อรับมือกับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ
การศึกษา Micro tourism พบว่าจังหวัดเมืองรองที่มีศักยภาพโดดเด่น ในการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบ Micro tourism มี 16 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช เชียงราย นครพนม ลำพูน นครนายก ระนอง เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี แม่ฮ่องสอน พัทลุง ราชบุรี นครสวรรค์ บุรีรัมย์ มหาสารคราม สุพรรณบุรี และชุมพร