ซิม หว่อง ฮู (Sim Wong Hoo) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Creative Technology (ส่วนในสหรัฐจะชื่อว่า Creative Labs) บริษัทชื่อดังที่มีสินค้าด้านมัลติมีเดียมากมายสัญชาติสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นลำโพง หูฟัง กล้องเว็บแคม เครื่องเล่นสื่อพกพา DAC และสินค้าในตำนานอย่างการ์ดเสียง “Sound Blaster” เสียชีวิตเมื่อวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น
โดยทั้งนี้ยังไม่มีการประกาศจากทางบริษัทถึงสาเหตุการเสียชีวิตแต่อย่างใด มีข้อมูลแค่ว่า “ถึงแก่กรรมอย่างสงบ” ซึ่งเขาได้ก่อตั้งบริษัท Creative Technology ในปี 1981 โดยสินค้าสร้างชื่อหนึ่งในนั้นคือ Sound Blaster ที่เปิดตัวในปี 1989 เจ้าคุณปู่ของ Sound Card ที่หลาย ๆ ท่านอาจรู้จักกันดี ซึ่งเปลี่ยนวงการ PC ยุคนั้นก้าวสู่การเล่นเกมแบบมีเสียงดนตรีและเสียงประกอบในระดับที่ดีกว่าใช้แค่เสียงจากลำโพง BIOS (PC Speaker) และการทำงานด้านมัลติมีเดีย รวมถึงเล่นไฟล์ MIDI ได้
บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ อเมริกาในปี 1992 และในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในปี 1994
ชีวประวัติคร่าว ๆ
“ซิม หว่อง ฮู” ศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่โรงเรียนหงีแอนโปลีเทคนิค เมื่อจบการศึกษาในปี 1981 เขาได้ตั้งร้าน Creative เป็นร้านคอมพิวเตอร์ในไชน่าทาวน์ในปีนั้นร่วมกับนายอึ้ง ไค วา เพื่อนร่วมโรงเรียน และอีก 10 กว่าปีต่อมาได้เปิดตัวการ์ดเสียง Sound Blaster
ในปี 2000 ขณะนั้นอายุ 45 ปี ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในสิงคโปร์ เขาเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลนักธุรกิจแห่งปีของ Singapore Business Awards ถึงสองครั้ง
ในปี 2006 เขาได้ฟ้อง Apple ในข้อหา iPod ละเมิดสิทธิบัตรเครื่องเล่นเพลงของเขา และยอมจ่ายเงิน 134 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Creative ได้เปิดตัวเครื่องเล่น MP3 Nomad ในปี 1999 สองปีก่อนที่ Apple จะเปิดตัว iPod ต่อมา Creative ได้เปิดตัวเครื่องเล่นเพลงอื่นๆ เช่น Nomad Jukebox Zen
แต่ก็ด้วยการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม Creative ก็เคยเข้าสู่ยุคตกต่ำเช่นกัน เช่นการมาของคู่แข่งในตลาดเครื่องเล่นสื่อ และ Sound Card on board หุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 64 ดอลลาร์ในเดือนมีนาคม 2543 เหลือประมาณ 1 ดอลลาร์ในปี 2017 และบริษัทได้เพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ในปี 2007 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะมองเห็นว่ามีแนวโน้มจะลดลงเช่นกัน
จนกระทั่งในปี 2019 ทาง Creative ได้เปิดตัว Super X-Fi ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชิปเสียงที่ใช้เวลาพัฒนาถึง 20 ปี ทำให้บริษัทกลับมามีมูลค่าถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผู้ใช้หูฟังได้สัมผัสกับเสียงที่มีรายละเอียดสามมิติที่กว้างขวางเหมือนในชีวิตจริง จำลองเสียงคล้ายระบบเสียง 7.1
ที่มา: Straitstimes
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส