Apple เป็นบริษัทที่มักจะเลือกสิ่งที่แตกต่างจากชาวบ้านมาโดยตลอด อย่างยุคสมัย iPod ที่สามารถปฏิวัติวงการเพลงสมัยนั้นได้ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องการเล่น MP3 ได้ แต่ยังจัดการไลบรารี่ได้ง่าย ทำให้ iPod ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ในยุคนั้น Apple เลือกใช้พอร์ต FireWire สำหรับ iPod ที่เปิดตัวในปี 2001 ซึ่งมีความเร็ว 400Mbps หรือเร็วเกือบเท่ากับ USB 2.0 ที่ 480Mbps จนกระทั่ง iPod รุ่นที่ 3 ก็ได้เปลี่ยนจากพอร์ต FireWire เป็น 30 Pin Connector ที่ไม่เหมือนกับชาวบ้านเหมือนเดิม รวมถึง iPhone ก็ใช้พอร์ตชนิดนี้ด้วยเหมือนกัน
แต่หลังจาก 30 Pin Connector อยู่มาได้นานถึง 1 ทศวรรษ Apple ก็ได้เปิดตัวพอร์ตใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Lightning ใน iPhone 5 เมื่อปี 2012 แน่นอนว่าในตอนนั้นสร้างความไม่พอใจให้ใครหลายคนเหมือนกัน เพราะยุคที่ 30 Pin Connector ครองตลาด อุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบนิเวศของ Apple เช่น ลำโพง ต่างใช้พอร์ต 30 Pin Connector กันหมด เมื่อ Apple เปลี่ยน นั่นหมายความว่าสินค้ากลุ่มนั้นก็จะหมดยุคลงทันที
ความพิเศษของ Lightning คือเป็นพอร์ตที่สามารถใช้งานได้ทั้ง 2 ฝั่ง ลดจำนวนพินลงจาก 30 พินเหลือเพียง 8 พินต่อด้าน (USB-C มีทั้งหมด 24 พิน) เสียบพอร์ตได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเล็งก่อน ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับพอร์ตของ Android ในสมัยนั้นที่นิยมใช้เป็น micro USD แต่ข้อจำกัดเรื่องประสิทธิภาพทำให้ Lightning นั้นดูว้าวเพียงแค่ช่วงแรกของการเปิดตัว เนื่องจาก Lightning จำกัดความเร็วไวแค่ระดับ USB 2 หรือ 480Mbps เท่านั้น ไม่ได้เร็วไปกว่าพอร์ต FireWire ที่ใช้ใน iPod รุ่นแรกเท่าไหร่นัก
ทั้งนี้มี iPad Pro รุ่นก่อนมาใช้พอร์ต USB-C ที่รองรับความเร็วระดับ USB 3.2 Gen 1 หรือมากถึง 5Gbps นั่นหมายความว่าจริง ๆ แล้ว Apple สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการโอนถ่ายข้อมูลที่เร็วขึ้นได้ แต่ไม่ยอมเองมากกว่า
ตอนนี้ Lightning ก็เดินทางมาด้วยระยะเวลา 1 ทศวรรษตามที่ ฟิล ชิลเลอร์ (Phil Schiller) กล่าวว่า “modern connector for the next decade” ซึ่งก็ครบเวลาแล้วนะ ถึงเวลาของพอร์ตใหม่แล้วแหละ
จริง ๆ สินค้าส่วนใหญ่ของ Apple ก็มีการเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C เกือบหมดแล้ว เช่น Mac, iPad หรือรีโมตของ Apple TV เป็นต้น มีสินค้าเพียงไม่กี่กลุ่มที่ยังคงใช้ Lightning เช่น iPhone, AirPods หรือคีย์บอร์ดเสริม เป็นต้น
ต้องขอบคุณมาตรการของสหภาพยุโรปที่บังคับให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในตลาดเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C หากจำวางจำหน่ายในยุโรป แน่นอนว่า Apple ก็ต้องปฏิบัติตามด้วยเช่นเดียวกัน
ที่มา GSMArena
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส