ในปีที่ผ่านมาเริ่มมีข่าวที่บรรดานักวิเคราะห์หลายสำนักออกมาทำนายทายทักว่า Apple จะเริ่มพบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในยอดขายของไอโฟนในตลาดที่อาจจะเดินทางไปถึงจุดอิ่มตัวแล้ว โดยเฉพาะข่าวเรื่องการตัดสินใจลดจำนวนการผลิต iPhone 6s ลงไปถึง 30% ในไตรมาสแรกของปีนี้นั้นส่งผลกระทบไปถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน สะท้อนผ่านจากราคาหุ้นที่ดิ่งตัวลงไปใกล้ 100 เหรียญฯ แล้ว
ทั้งนี้ สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า สต็อกคงค้างของเครื่อง iPhone 6s และ iPhone 6s Plus นั้นมีจำนวนมากขึ้น ทำให้ Apple ตัดสินใจลดจำนวนการผลิตไอโฟนในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม โดยส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอย่าง Foxconn ที่มีรายได้หลักจากออเดอร์การผลิตไอโฟนมาตลอดนั้นต้องปลดพนักงานลงในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้หุ้นของ Foxconn เองก็ตกลงมา 1.8% รวมถึงผู้ผลิตชิ้นรายอื่นๆ อย่าง Japan Display และ LG Display ที่รับผลิตจอไอโฟนให้ Apple ก็เจอกับภาวะหุ้นร่วงกว่า 4.7% และ 3.4% ตามลำดับ
นอกจากนี้ สำนักข่าว Bloomberg ยังได้รายงานว่าบรรดาตัวแทนจำหน่ายของ Apple ก็มีตัวเลขส่วนแบ่งกำไรที่ลดลง ซึ่งทำให้มีนักลงทุนบางส่วนเริ่มประเมินว่ายักษ์ใหญ่แห่งคูเปอร์ติโน่นี้อาจจะมีจุดอ่อนสำคัญที่เป็นบริษัทประเภท ‘one-product company’ คือไอโฟนคือสินค้าหัวใจสำคัญของ Apple ที่ส่งผลต่อตัวเลขรายได้และผลประกอบการบริษัทซึ่งมีมากกว่ารายได้จากการขายสินค้าชิ้นอื่นๆ (ยอดขายไอโฟนคิดเป็น 155 พันล้านเหรียญฯ จาก 234 พันล้านเหรียญฯ จากรายงานปี 2015) ซึ่งการลดจำนวนการผลิตถึง 30% และกระแสข่าวความต้องการไอโฟนลดน้อยลง ก็ทำให้นักลงทุนเริ่มแสดงความกังวลกับอนาคตของ Apple เช่นกัน
ที่มา : theguardian