หลังจากตกเป็นข่าวลือมายาวนานเกี่ยวกับการหันมาใช้หน้าจอ OLED ในไอโฟนตัวใหม่ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไอโฟนอาจมีราคาขายเริ่มต้นที่สูงขึ้นไปถึง 1,000 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 34,500 บาท) มากกว่าไอโฟนทุกรุ่นที่ผ่านมา รวมทั้งทำให้ iPhone 8 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกในท้องตลาดที่มีราคาแตะเลข 4 หลักในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ล่าสุด Steven Milunovich นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยการเงิน UBS ก็ออกมาคาดการณ์ว่า ราคาของ iPhone 8 นั้นพอเปิดตัวขายในสหรัฐฯ จริงๆ น่าจะอยู่ระหว่าง 850-900 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 29,000 – 31,000 บาท) ไม่หนีจาก Galaxy S8 เรือธงของ Samsung ที่วางขายในสหรัฐฯ อยู่ที่ 840-850 ดอลลาร์
สำหรับข่าวลือที่อ้างว่ามาจากสายการผลิตก่อนหน้านี้ได้ระบุว่า iPhone 8 จะมาพร้อมรุ่นความจุ 256 GB และมีราคาอยู่ระหว่าง 950 – 1,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 32,000 – 34,500 บาท) ขณะที่รุ่นรองลงมาที่จะเปิดตัวพร้อมกันอย่าง iPhone 7s และ iPhone 7s Plus ถูกคาดการณ์ว่าจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 649 และ 749 ดอลลาร์ (ราว 22,400 และ 26,000 บาทตามลำดับ) โดยทางนักวิเคราะห์จาก UBS Asia Arthur Hsieh เคยออกมาเปิดเผยว่า iPhone 8 นี้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นกว่าต้นทุนผลิต iPhone 7 Plus อยู่ราว 70-90 ดอลลาร์ต่อเครื่อง (ประมาณ 2,400 – 3,100 บาท)
อย่างไรก็ตาม Milunovich กลับมองว่าหากเปิดราคาขายมาที่ 1,000 ดอลลาร์ จริงจะไม่เกิดประโยชน์ในเรื่องกลยุทธ์การตลาดต่อ Apple เนื่องจาก iPhone 8 จะเสียเปรียบในเรื่องของขนาดจอ 5.8 นิ้ว เมื่อเทียบกับ Galaxy S8 Plus ที่มีขนาดจอใหญ่ถึง 6.2 นิ้ว และจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ Apple จะต้องปรับราคาขายให้ใกล้เคียงกับ Galaxy S8 / S8 Plus นั่นเอง