สำนักข่าว Reuters ออกบทวิเคราะห์ว่า Apple ก้าวล้ำหน้าคู่แข่งในตลาดไป 2 ปี จากการนำเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าแบบ 3 มิติ (3D Sensing) มาใช้ใน iPhone X เป็นครั้งแรกในการเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน ปี 2017 ขณะที่แบรนด์ Android อื่น ๆ ในตลาดนั้นจะต้องรอถึงปี 2019 ในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้จริง

ทั้งนี้ ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2013 Apple เปิดตัว iPhone 5S ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือบนปุ่ม home เป็นครั้งแรก และนั่นทำให้สมาร์ทโฟนคู่แข่งในตลาดเริ่มหันมาเดินรอยตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรอถึงเดือนเมษายน 2014 หรือเป็นเวลากว่า 7 เดือน ที่ Apple ครอบครองตลาดเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้โรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วน 3D Sensing ไม่ว่าจะเป็น Viavi Solutions Inc, Finisar Corp และ Ams AG ต่างก็ประสบปัญหาในเรื่องกระบวนการผลิตที่ยังล่าช้าเป็นคอขวด ซึ่งนั่นหมายความว่าการผลิตชิ้นส่วน 3D Sensing ในปริมาณมาก ๆ จะยังไม่สามารถทำได้ในปีนี้ ทำให้บรรดาผู้ผลิตมือถือฝั่ง Android ที่ต้องการจะใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในสมาร์ทโฟนอาจต้องรอไปจนถึงปี 2019 เลยทีเดียว โดยก่อนหน้านี้ มีสมาร์ทโฟน Android อย่าง Asus Zenfone AR ที่มี 3D Sensing มาด้วย แต่เป็นการติดไว้ที่ด้านหลัง ไม่ได้วางเซ็นเซอร์ไว้ด้านหน้าเหมือนใน iPhone X

‘มันมีความเป็นไปได้ที่จะผลิตชิ้นส่วน 3D Sensing ให้กับแบรนด์สมาร์ทโฟนอื่น ๆ ได้ทันภายในสิ้นปีนี้ แต่จะได้ในปริมาณที่น้อยมาก ปี 2019 จะเป็นปีที่เราได้เห็นแบรนด์ Android อย่างน้อยสัก 2 รุ่นที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่รองรับฟีเจอร์นี้เต็มรูปแบบ’

สำหรับเทคโนโลยีสแกนใบหน้านั้นคาดว่าจะถูกต่อยอดไปใช้งานในเรื่องการยืนยันการชำระเงิน การควบคุมสั่งการด้วยท่าทาง การซื้อของออนไลน์ ไปจนถึงลูกเล่นใหม่ ๆ ในการเล่นเกมบนสมาร์ทโฟน โดยทางบริษัทวิจัยเทคโนโลยีอย่าง Gartner ได้ทำนายว่าภายในปี 2021 จะมีสมาร์ทโฟนในตลาดกว่า 40% ที่ใช้งานกล้อง 3 มิติในการรองรับการใช้งาน AR อย่างแน่นอน

 

อ้างอิง