Apple ประเทศไทยประกาศวางจำหน่าย iPhone 11 ซีรีส์อันประกอบไปด้วย iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ในวันที่ 18 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ โดยผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ค่ายจะเปิดจองวันที่ 11 ตุลาคม แต่สำหรับใครที่ยังเลือกไม่ได้ รักพี่เสียดายน้อง ส่องแล้วส่องอีกยังตัดสินใจไม่ได้ มาดูกันว่ารุ่นไหนเหมาะกับเราที่สุด
มาดูรายละเอียดพื้นฐานกันก่อน
iPhone 11
iPhone 11 เป็นรุ่นพัฒนาของ iPhone XR มีราคาเริ่มต้น 24,900 บาท ใช้หน้าจอ LCD ความละเอียด 1792×828 พิกเซล ความหนาแน่น 326 ppi หน้าจอสว่างสุดที่ 625 nits ไม่มี 3D Touch เช่นเดียวกัน
จุดเด่นที่เพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้วคือเรื่องกล้อง นอกจากเลนส์มุมกว้างปกติแล้ว iPhone 11 ยังมีกล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษและรองรับ Night mode ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การถ่ายภาพให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนกล้องหน้าอัปเกรดเป็น 12 ล้านพิกเซล รองรับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps, หรือ 60 fps และยังรองรับการถ่าย slo-mo ความละเอียด 1080p 120 fps อีกด้วย ส่วนระบบเสียงรองรับ Dolby Atmos
สเปกภายใน ใช้ชิปประมวลผล Apple A13 Bionic พร้อม Neural Engine รุ่นที่สาม เพิ่มประสิทธิภาพของ Smart HDR และยังทำให้รองรับโหมดการถ่ายภาพใหม่อย่าง Deep Fusion ที่เก็บรายละเอียดของรูปภาพได้อย่างดีเยี่ยม (ดูตัวอย่าง) แน่นอนว่า Apple A13 Bionic คือชิปประมวลผลบนสมาร์ตโฟนที่แรงที่สุดในเวลานี้แล้ว
ด้านแบตเตอรี iPhone 11 ไม่มีความแตกต่างจาก iPhone XR มากเท่าไหร่นัก ข้อเสียสำคัญคือไม่มี Fast Charge 18W ให้มาในกล่อง
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เป็นรุ่นอัปเกรดของ iPhone XS และ iPhone XS Max เมื่อปีที่แล้ว ทั้งคู่มาพร้อมกับหน้าจอ OLED แบบใหม่ Apple ตั้งชื่อว่า Super Retina XDR ความละเอียด 2436×1125 พิกเซล และ 2688×1242 พิกเซลตามลำดับ ความหนาแน่นอยู่ที่ 458 ppi
Super Retina XDR เป็นชื่อการค้าใหม่ของ Apple พัฒนาการแสดงผลเฉดสีให้ดียิ่งขึ้น สว่างสูงสุด 800 nits และ 1,200 nits HDR ไม่มี 3D Touch แล้ว ตัวเครื่องดีไซน์คล้าย iPhone XS แต่ออกแบบกล้องใหม่ ใหญ่ขึ้นมาก
กล้องหลังของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เป็นโมดูลเดียวกันคือ มีทั้งหมดสามตัว ประกอบไปด้วย เลนส์มุมกว้างปกติ เลนส์ซูม และ เลนส์มุมกว้างพิเศษ มี Deep Fusion เช่นเดียวกัน
ด้านสเปกอื่น ๆ ก็ค่อนข้างจะคล้ายกับ iPhone 11 คือใช้ชิปประมวลผล Apple A13 Bionic แต่จุดแตกต่างสำคัญเลยคือแบตเตอรีที่ใช้งานได้นานกว่า เมื่อเทียบระหว่าง iPhone 11 Pro กับ iPhone XS และ iPhone 11 Pro Max กับ iPhone XS Max พบว่าสามารถใช้งานได้นานขึ้น 4 และ 5 ชั่วโมงตามลำดับ อีกทั้งในกล่องยังแถม Fast Charge 18W มาให้ด้วย
โดย iPhone 11 Pro ราคาเริ่มต้น 35,900 บาท ส่วน iPhone 11 Pro Max เริ่มต้น 39,900 บาท
แล้วจะซื้ออะไรดี!?
เมื่อดูจากรายละเอียดข้างต้นแล้วจะพบว่า จริง ๆ แล้วในแง่ประสิทธิภาพการใช้งานโดยรวม iPhone 11 ไม่ได้แตกต่างจาก iPhone 11 Pro มากนัก ไม่ว่าจะเรื่องชิปเซ็ต Apple A13 Bionic ที่ได้มาเหมือนกัน ซึ่งหากเป็นคนที่ใช้งานทั่วไปอย่างแค่เล่นเกม โซเชียลเช่น Facebook, Twitter หรือ Line ถ่ายรูปบ้าง สีสันเยอะ iPhone 11 เป็นคำตอบที่ดี เพราะประหยัดเงินไปได้อีกเยอะ
แต่ถ้าคุณมีความต้องการในปัจจัยต่อไปนี้ กล้องระบบซูม หน้าจอที่สวยงามกว่ามาก ขอบจอที่เล็กกว่าไม่อึดอัด (อันนี้มีผลมาก ใครเคยใช้ iPhone XS และ iPhone XR จะรู้สึกได้) ความหรูหราที่มากขึ้น iPhone 11 Pro เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุดครับ ซึ่งต้องเพิ่มเงินอีกราวหมื่นนึงเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้เพิ่ม
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของขนาดที่ iPhone 11 จะดูใหญ่ไปสักหน่อย มีขนาดหน้าจอที่ 6.1 นิ้ว เอาจริง ๆ คนมือเล็กก็ถือค่อนข้างลำบาก ถ้าขนาด 5.8 นิ้วจะยังดูคล่องมือมากกว่า แต่ถ้าหากใครชอบมือถือจอใหญ่ iPhone 11 vs iPhone 11 Pro Max ก็ไม่ทิ้งห่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยข้างต้นแล้วครับ อ้อ! และยังมีเรื่องอุปกรณ์เสริมที่ต้องซื้อตามทีหลังเช่นฟิล์มกันรอยหรือเคสอีกด้วย เรียกว่าชั่วโมงละลายทรัพย์จริง ๆ
ย้ำกันอีกครั้ง iPhone 11 ซีรีส์เปิดจองในไทยทั้ง 3 ค่ายวันที่ 11 ตุลาคมนี้ ส่วน Apple Store สาขา Icon Siam เปิดจำหน่าย 18 ตุลาคมนี้ครับ
อ้างอิง 9to5Mac
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส