เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมา Washington Post ได้รายงานว่า Apple ยอมตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวน 113 ล้านเหรียญ (ประมาณ 3,400 ล้านบาท) เพื่อยุติคดีกรณีปัญหา Batterygate ที่มีการฟ้องร้องกันใน 34 รัฐ ภายหลังจากที่มีการพบว่า Apple ลดประสิทธิภาพ iPhone รุ่นเก่าลง เพื่อมิให้กระทบต่อการทำงานเนื่องจากแบตเตอรีเสื่อมสภาพ
Mark Brnovich ผู้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดรัฐแอริโซนาได้กล่าวว่า “บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต้องหยุดหลอกลวงผู้บริโภค และต้องบอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติและผลิตภัณฑ์ของบริษัท”
นอกจากนี้ Apple จะต้องชี้แจงวิธีการรับมือกับคุณภาพของแบตเตอรีและการใช้พลังงานแบตเตอรี ให้แก้ผู้บริโภคทั้งทางออนไลน์และโดยตรงผ่านอุปกรณ์ของตนด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ผู้ใช้ได้พบว่าประสิทธิภาพในการทำงานของ iPhone รุ่นเก่านั้นลดลง ภายหลังจากที่อัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชันใหม่ โดยในเดือนธันวาคม 2017 ทาง Apple ได้ออกมายอมรับกรณีดังกล่าว และได้อธิบายว่าเป็นการป้องกันมิให้อุปกรณ์รุ่นเก่าหยุดการทำงานอย่างกะทันหันเนื่องแบตเตอรีที่เสื่อมสภาพลง ซึ่งทำให้เกิดการฟ้องร้องกรณีปัญหา Batterygate ขึ้น
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ที่ผ่านมา Apple ต้องจ่ายค่าปรับมูลค่า 25 ล้านยูโร (ประมาณ 897 ล้านบาท) ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสในกรณีที่ลดความเร็ว iPhone ภายหลังจากการอัปเดตระบบปฏิบัติการ และเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ที่ผ่านมา Apple ก็ต้องจ่ายเงินค่าปรับเป็นเงินจำนวน 500 ล้านเหรียญ (ประมาณ 15,100 ล้านบาท) จากการฟ้องร้องในข้อพิพาทลักษณะเดียวกัน
ข้อมูลอ้างอิง : engadget
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส