3 ธันวาคม 2564 ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อนุมัติข้อเสนอของ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย นำโดย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลฯ และเครือข่ายพันธมิตร ในการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยกเว้น “ภาษี Capital Gain Tax 0% สำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัปไทย” เพื่อกำหนดเป็นมาตรการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสตาร์ทอัป และ Tech companies ของไทย ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพลิกโฉมประเทศไทยในอนาคต
ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัล ได้นำเสนอถึง ความท้าทายของโลก ที่ทำให้ประเทศไทยต้องปรับตัวในส่วนของ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Capital Inclusive) การปรับตัวสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) และ การที่ทั่วโลกเข้าสู่เรื่องความยั่งยืน และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่ง ประเทศที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องปรับตัวให้ทันยุคต่อไป นั่นคือยุคของเทคโนโลยีใหม่ หรืออาจเรียกได้ว่า ยุค 5.0 ที่ต้องสร้างคน และ ส่งเสริมสตาร์ทอัป ดึงดูดการลงทุนมายังประเทศไทย ซึ่ง การที่ภาครัฐเตรียมขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การขับเคลื่อนเรื่องดาต้าเซ็นเตอร์ การผลักดันอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ต่อยอดไปถึงการดึงดูดผู้ประกอบการรายใหญ่ มาสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีโอกาสอย่างมากในการส่งออกวัฒนธรรม (Soft Power) ซึ่งหากมีการดึงดูดการลงทุนมายังประเทศไทย นอกจากจะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นการเพิ่มบุคลากรที่มีองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ทั้งนี้ข้อเสนอที่ได้รับการอนุมัติในวันนี้ เป็นส่วนสำคัญของการยกระดับด้านกฎระเบียบ ซึ่งรวมไปถึงมาตรการทางภาษี เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นต้น โดยจากการสำรวจของสภาดิจิทัลฯ พบว่าองค์ประกอบดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักนอกเหนือจากทักษะชั้นสูงด้านดิจิทัลที่ประเทศยังขาดแคลนที่สตาร์ทอัป นักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศ ต้องการความเปลี่ยนแปลง เพื่อที่สตาร์ทอัปไทยจะย้ายกลับมาจากการจดทะเบียนที่ต่างประเทศ และนักลงทุนพร้อมที่จะลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยจากนี้ไป กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร และ สภาดิจิทัลฯ จะบูรณาการความร่วมมือ เพื่อให้ พ.ร.ฎ. สามารถออกเป็นกฎหมายได้ภายในต้นปีพ.ศ. 2565 และจะกลับไปนำเสนอกับ ท่านนายกรัฐมนตรี และ ศบศ. ถึงมาตรการอื่น ๆ ในการส่งเสริมระบบนิเวศ ที่เหมาะสมต่อการส่งเสริมการลงทุน ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และสตาร์ทอัปให้แก่ผู้ประกอบการไทยในอีก 1 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวของสภาดิจิทัลฯ และเครือข่ายพันธมิตรในการที่จะผลักดันจูงใจให้นักลงทุนไทยและต่างประเทศ (Venture Capital หรือ VC) เข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัปมากขึ้น จะเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ให้เข้มแข็งทั้งด้านนโยบายและกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สร้างไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ในปัจจุบันหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน อาทิ สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย และ
มาเลเซีย มีนโยบายยกเว้นภาษี Capital Gain Tax ทำให้ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้จำนวนมาก ซึ่งหลังจากการแก้ไขมาตรการภาษีดังกล่าว จะทำให้ไทยสามารถเร่งขยายโอกาสการเติบโตของสตาร์ทอัป และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนใน Tech Companies ในภูมิภาคอาเซียน เข้ามาลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพไทย
ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทย และยังถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญและเป็นโอกาสที่ดียิ่งในการดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในประเทศไทย นับจากนี้ สภาดิจิทัลฯ จะเร่งดำเนินการสานต่อการดำเนินงานกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันนโยบายส่งเสริมการลงทุน ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และสตาร์ทอัปแก่ผู้ประกอบการไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด