ฝุ่น PM 2.5 ยังคงมีบทบาททำร้ายเรา ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง แต่นอกจากทำร้ายระบบทางเดินหายใจ รวมถึงส่งผลให้ผู้เป็นภูมิแพ้มีอาการมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อพัฒนาการของสมองเด็ก และยังทำให้ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงเป็นออทิสติกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย
มีงานวิจัยจากต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า เมื่อมนุษย์มีการสูดดมฝุ่น PM เข้าไปแล้ว มันจะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในโพรงจมูก ทำให้มีการอักเสบ หลังจากนั้นจะเกิดกลไกตามปกติของร่างกายคือระบบภูมิคุ้มกันจะทำงาน แต่ระหว่างนี้ร่างกายจะเกิดการอักเสบและส่งผลให้ได้รับความเสียหายระดับเซลล์ด้วย และหากเป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.2 ไมครอนสามารถเคลื่อนที่ผ่าน olfactory bulb ไปถึงสมองโดยตรงได้เลยด้วย
ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่อง PM 2.5 ประเทศที่มีการพัฒนาแล้วอย่างจีนหรือสหรัฐอเมริกาต่างก็เคยมีปัญหา PM 2.5 ในเด็กเช่นเดียวกัน เด็กชาวจีนที่สัมผัสหรือสูดฝุ่น PM 2.5 ในชีวิตประจำวันส่งผลให้ทักษะในการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ลดลง ส่วนเด็กในทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียที่สูดฝุ่นเข้าไปพบว่ามีทักษะการอ่านและคณิตศาสตร์ที่น้อยลง
มีงานวิจัยของต่างประเทศชิ้นหนึ่งระบุว่า PM2.5 ความเข้มข้น 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจะส่งผลกระทบต่อ IQ ได้
นอกจากเรื่องพัฒนาการในสมองของเด็กแล้ว PM 2.5 ยังมีผลต่อเด็กในครรภ์อีกด้วย งานวิจัยของ IS Global Barcelona Institute for Global Health พบว่า การที่คุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้าย (7-9 เดือน) การได้รับ PM 2.5 ต่อเนื่องทำให้ส่งผลต่อการพัฒนาของ corpus callosum เมื่อเด็กเกิดมาอายุระหว่าง 8-12 ปี ซึ่งยิ่ง corpus callosum มีการพัฒนาที่น้อยลง ยิ่งมีโอกาสทำให้เกิดภาวะออทิสติกมากยิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่า PM 2.5 ไม่ได้ส่งผลเฉพาะแค่เรื่องเกี่ยวกับภูมิแพ้เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงพัฒนาการของสมองเด็กอีกด้วย หนทางการแก้ปัญหาของเรา ๆ ในตอนนี้คือ เมื่อจะเดินทางไปไหนก็ควรใส่หน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ เช่น หน้ากาก N95 และหากที่อยู่อาศัยของเราอยู่ในเขตที่มีฝุ่น PM 2.5 สูง ก็ควรมีเครื่องกรองฝุ่นติดเอาไว้ในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน (ซื้อเครื่องกรองฝุ่นอะไรดี คลิกอ่านเลย)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส