-70% คือตัวเลขการขาดทุนของหุ้น Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 พูดง่าย ๆ ซื้อหุ้น Meta 100 บาท เมื่อต้นปี ตอนนี้จะมีมูลค่าราว 30 บาท เท่านั้น
ถ้าย้อนเวลากลับไป 5 ปีก่อนแล้วซื้อหุ้นของ Meta ตอนนี้หุ้นจะขาดทุน 49% เทียบกับตลาด S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 45% ในช่วงเวลาเดียวกัน Meta ไม่ใชแค่ล้างมูลค่าหุ้นที่พุ่งสูงในช่วงการระบาดโควิด-19 ไปจนหมดเท่านั้น แต่หุ้นบริษัทของพวกเขาย้อนกลับไปในปี 2015 แล้วด้วยซ้ำ
หลายปีที่ผ่านมา Facebook เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีชื่อเล่นเรียกว่า “FAANG” ซึ่งประกอบด้วย Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Google ถือว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่แข็งแกร่ง หุ้นเติบโตมาโดยตลอด มีมูลค่ารวมกันคิดเป็น 13% ของ S&P500 ให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนมากมาย แต่ไตรมาสล่าสุดเราเห็นสัญญาณแล้วว่าบริษัทเหล่านี้กำลังเผชิญปัญหาอย่างหนัก ดูอย่าง Meta ในวันที่ 27 ตุลาคม 2022 เพียงวันเดียวดิ่งลงไปกว่า 25% ส่วนบริษัทอื่น ๆ อย่าง Amazon, Apple, Netflix และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) ต่างก็ต้องเผชิญชะตากรรมที่ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ จากกลุ่มบริษัทที่นักลงทุนมองว่า “Invincible” หรือแข็งแกร่งแบบไร้เทียมทาน ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ล่าสุด Amazon ก็เพิ่งสั่งปลดพนักงาน 10,000 ตำแหน่ง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
หากมองในกลุ่มบริษัท FAANG แล้ว Meta ที่เป็นบริษัทแม่ของ Facebook ดูจะเจอปัญหาหนักที่สุด ตั้งแต่การงัดข้อกับ Apple ในเรื่อง ATT (App Tracking Transparency) ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาตให้แอปติดตามเก็บข้อมูลหรือเปล่าตั้งแต่ปีที่แล้ว เรื่องนี้ก็สูญรายได้ไปแล้วกว่า 10,000 ล้านเหรียญ ต่อจากนั้นยังมีเรื่องของวิสัยทัศน์ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ที่หันไปโฟกัสกับเทคโนโลยีใหม่ที่ยังคลุมเครือและไม่รู้เลยว่าจะใช้ได้จริง ๆ เมื่อไหร่อย่างเมตาเวิร์ส (Metaverse)
นอกจากนั้นยังมีเรื่องคู่แข่งที่มาแย่งตลาดของลูกค้าเด็กและวัยรุ่นไปอย่าง TikTok ซึ่งก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะสู้ได้ (แม้จะไปก๊อปปี้เขามาแล้วก็ตาม) และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2022 ได้แจ้งปลดพนักงาน 11,000 ตำแหน่งไปเป็นที่เรียบร้อย ซักเคอร์เบิร์กยอมรับว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นและความผิดส่วนหนึ่งก็มาจากเขาด้วยนั่นแหละ
(ส่วนบริษัทอื่นก็เลวร้ายพอสมควร Netflix -60%, Amazon -42%, Alphabet -37% มีเพียง Apple เท่านั้นที่ขึ้นมา 1%)
จีน มันสเตอร์ (Gene Munster) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลงทุนในเทคโนโลยี Loup Ventures กล่าวว่า “นักลงทุนตอนนี้กำลังสูญเสียความมั่นใจในเรื่องการเติบโต” และปัญหาที่เกิดขึ้นนี้น่าจะยาวนาน “อีกหลายปีเลยทีเดียว”
ที่จริงแล้วความกังวลของนักลงทุนกับบริษัท Meta ได้เกิดขึ้นมาได้หลายเดือนแล้ว ตามรายงานของเว็บไซต์ Bloomberg ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หลังจากประกาศตัวเลขผู้ใช้งานลดลง บริษัทเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายครั้งประวัติศาสตร์ ราคาหุ้นที่หายไปเยอะที่สุดในวันเดียวกว่า 251,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงที่เยอะที่สุดในวันเดียวตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นของอเมริกามา
สถานการณ์ในเดือนตุลาคมยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อรายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และนอกจากนั้นซักเคอร์เบิร์กยังคงยืนยันในการลงทุนกับเมตาเวิร์สต่อไป โดยซักเคอร์เบิร์กบอกกับนักวิเคราะห์ว่าตอนนี้พวกเขากำลังเป็นผู้นำในด้านเมตาเวิร์สและ “หลายครั้งมันก็ต้องใช้หลายเวอร์ชันว่าที่ผลิตภัณฑ์หนึ่งจะถูกใช้งานในวงกว้าง” แต่ไม่แม้ Meta จะเป็นผู้ในในอุตสาหกรรมนี้หรือไม่ก็ตาม ประเด็นที่ชัดเจนคือนักลงทุนไม่ได้อยากจะเสี่ยงกับเทคโนโลยีที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและอยากให้ซักเคอร์เบิร์กกลับมาโฟกัสที่แบรนด์และผลิตภัณฑ์โซเชียลมีเดียของตัวเองให้ดีขึ้นมากกว่า
แน่นอนว่านั่นคือมุมของนักลงทุน แต่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่แล้วสิ่งที่ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำตลาดมาโดยตลอดคือการคอยปรับทิศทางของบริษัทให้เติบโตได้ต่อไปเรื่อย ๆ เสมอ Netflix เริ่มจากการเป็นร้านเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสตรีมมิง และหลังจากนั้นก็สร้างคอนเทนต์เหมือนกับฮอลลีวูด Amazon ก็เริ่มจากร้านขายหนังสือออนไลน์ เปลี่ยนเป็นร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่ที่ขายทุกอย่าง ตอนนี้กลายเป็นผู้ให้บริการประมวลผลคลาวด์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกแถมยังสร้างลำโพงอัจฉริยะที่เข้าไปอยู่ในบ้านของลูกค้าด้วย
สำหรับ Facebook ที่เริ่มจากการเป็นเว็บไซต์สำหรับกลุ่มเด็กมหาวิทยาลัย กลายมาเป็นนิวส์ฟีด ต่อจากนั้นก็กลายเป็นโซเชียลมีเดียที่กลายเป็นศูนย์รวมของสื่อทุกอย่าง ทั้งข่าวสารและธุรกิจ มีทั้งรูปภาพและวิดีโอ ก่อนจะหันหน้าไปหาเมตาเวิร์ส ซึ่งถ้าบอกว่า Facebook กลายมาเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จได้จากการไม่มีอะไรเลยก็คงไม่ผิดนัก แต่จะทำอีกครั้งได้ไหม
บริบทตรงนี้ต้องบอกว่าสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ล้อมรอบบริษัทแตกต่างจากช่วงแรก ๆ ของ Facebook เป็นอย่างมาก ความคาดหวังจากนักลงทุนที่คุ้นเคยกับรายได้ที่เติบโตเฉลี่ยต่อปี 42% ตั้งแต่ 2013 – 2021 เป็นแรงกดดันให้ซักเคอร์เบิร์กต้องคอยหาหนทางใหม่เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อเอาใจนักลงทุน โดยปีนี้มีการคาดการณ์ว่ารายได้จะลดลงประมาณ 1% จากการแข่งขันของแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และแถมยังมาเจอสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะถดถอยจนทำให้บริษัทมากมายลดเงินโฆษณาในช่วงนี้ลงไปก่อนด้วย
ต้นตอของภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการที่ธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ (FED) ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยกระทบกับบริษัทเทคโนโลยีเพราะว่ามูลค่าของหุ้นเกิดจากการมองไปในอนาคตว่าจะสร้างผลกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ พูดอีกอย่างคือการตั้งมูลค่าของสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่คิดว่าจะเกิดขึ้น จึงต้องใช้อัตราดอกเบี้ยมาหักลบลงไปด้วย เพราะฉะนั้นยิ่งดอกเบี้ยสูงมูลค่าในอนาคตก็ต่ำไปด้วยในวันนี้ กลายเป็นว่านักลงทุนจะไม่อยากจ่ายเงินเพื่อเสี่ยงกับสิ่งที่ไม่แน่นอนน้อยและผลกำไรในอนาคตเมตาเวิร์สอันไกลโพ้นน้อยลงนั่นเอง
แต่ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หุ้นเทคโนโลยีร่วงหนัก ยังจำกันได้ช่วงเริ่มต้นของโควิดปี 2020 ที่ตลาดหุ้นร่วงระนาว ก่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนี่แหละที่กลับมาคึกคักในอีกไม่กี่เดือนต่อมาเพราะคนอยู่บ้านแล้วใช้บริการของพวกเขาเยอะขึ้น หรืออย่างตอนที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยในปี 2018 และคนก็กลัวเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย หุ้นเทคโนโลยีก็ร่วงอีก ก่อนที่เด้งกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดีในอีกไม่กี่เดือนถัดมา
ปีนี้แม้จะดูไม่ค่อยสดใสสำหรับบริษัทเทคโนโลยี แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะมีสัญญาณว่าหลังจากนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายมากเท่าที่ผ่านมาแล้ว FED ยังคงมีท่าทีว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อจัดการกับภาวะเงินเฟ้อที่ดื้อด้าน แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเริ่มผ่อนอัตราการขึ้นให้น้อยลงแล้วในครั้งต่อไป ค่า P/E (อัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) ตอนที่ Facebook เข้าตลาดหุ้นปี 2012 อยู่ที่ 50 เท่า แต่ตอนนี้ค่า P/E อยู่แค่ 9 เท่าเท่านั้น เทียบเท่ากับพวกบริษัทอย่างผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า Whirlpool Corp ไปแล้วถือว่าค่อนข้างถูกเลยทีเดียว
เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจภาพใหญ่นั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ท่าทีของนักลงทุนก็คงเปลี่ยนไปด้วย FAANG ยังคงมีธุรกิจที่แข็งแกร่ง แต่ตลาดตอนนี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าพวกเขาก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักได้เช่นกัน
ส่วน Meta แม้ตอนนี้นักลงทุนจะรู้สึกไม่คุ้มค่าเพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ที่หนักสุดก็เป็นการทุ่มทำเมตาเวิร์สที่สร้างความกังวลว่ามันเป็นการลงทุนที่มากเกินไปและเร็วเกินไป ต่อจากนี้ต้องรอดูว่าซักเคอร์เบิร์กจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง จะเริ่มบาลานซ์พัฒนาตัวผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Facebook/Instagram/WhatsApp ให้ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กับพัฒนาเมตาเวิร์สได้ไหม เป็นงานที่หนักไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับซีอีโอที่กำลังตกที่นั่งลำบากคนนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส