ชาเลนจ์ (Challenge) หรือ ‘การท้าทาย’ เป็นวิดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุดประเภทหนึ่งบน TikTok ซึ่งชาเลนจ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มีทั้งเรื่องสนุก ๆ นับตั้งแต่การเอาเมนทอสไปใส่ในไดเอตโค้ก ไปจนถึงเรื่องเลยเถิดที่ไม่สมควรทำ อย่างการเอาลิ้นเลียฝาชักโครกในช่วงที่โควิดกำลังระบาด และเรื่องที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จนบางครั้งเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็มี
ล่าสุด ‘Blackout Challenge’ ที่กำลังเป็นกระแสและสื่ออย่าง Bloomberg ก็รายงานว่าในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมามีเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีจำนวน 15 คน และเด็กอายุ 13-14 ปีอีก 5 คนที่เสียชีวิตโดยมี ‘Blackout Challenge’ มาเกี่ยวข้อง
แม้ว่าชาเลนจ์นี้จะมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2008 จากรายงานของเว็บไซต์ People แต่มันมาได้กลายเป็นกระแสและได้รับความนิยมบน TikTok อีกครั้งหนึ่งในช่วงปี 2021 ทางผู้เชี่ยวชาญบอกว่าชาเลนจ์ที่ท้าให้คนบีบคอตัวเอง (หรือผู้อื่น) จนหมดสติเป็นลมไปอย่าง ‘Blackout Challenge’ เป็นอันตรายอย่างมาก ตอนที่มันบูมครั้งแรกมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 80 คนจากรายงานของ CDC (ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา)
พ่อแม่ยุคใหม่กำลังเผชิญปัญหาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อเด็ก ๆ ในบ้านสามารถดูวิดีโอชาเลนจ์เหล่านี้ผ่านทางหน้าจอได้อย่างง่ายดาย จึงไม่แปลกใจที่ผู้ปกครองจะหันไปขอคำตอบจากทาง TikTok ว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรได้บ้าง รวมไปถึงพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงวัย 9 ขวบชื่อ อาร์ราเอนิ อาโรโย (Arriani Arroyo) จากเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ก็ประสบชะตากรรมอันเลวร้ายไม่ต่างกัน
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 หลังจากที่ได้เข้าร่วม ‘Blackout Challenge’ อาโรโยก็เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ พ่อแม่ของเธอยื่นฟ้อง TikTok โดยหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นกับเด็กคนอื่น ๆ อีก แต่ความเสียหายไม่ได้หยุดลงแค่ตรงนั้น เดือนสิงหาคม 2022 เด็กชายชาวอังกฤษวัย 12 ขวบ อาร์ชี แบตเตอร์สบี (Archie Battersbee) เสียชีวิตลงหลังจากหมดสติถูกส่งเข้าโรงพยาบาลและอยู่ในอาการโคม่าอยู่หลายเดือนหลังจากลองทำ ‘Blackout Challenge’ ตามวิดีโอบน TikTok ไม่กี่อาทิตย์ต่อจากนั้น ลอรีน คิตติง (Lauryn Keating) ก็พบลูกชายวัย 14 ปี ลิออน บราวน์ (Leon Brown) เสียชีวิตอยู่ในห้องนอนบ้านที่สกอตแลนด์หลังจากทำ ‘Blackout Challenge’
ตอนนี้ TikTok กำลังเผชิญหน้ากับการถูกฟ้องร้องจากครอบครัวผู้เสียหายหลายครอบครัว คำถามคือว่าทำไมบริษัทยังไม่ออกมาแก้ไขเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้ง ๆ ที่ก็ทราบดีว่าแพลตฟอร์มของพวกเขานั้นเป็นตัวกลางกระจายชาเลนจ์อันตรายที่มีความเป็นความตายเป็นเครื่องเดิมพัน แต่กลับไม่หาวิธีออกมาป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น
นายแพทย์ นิค ฟลินน์ (Nick Flynn) อธิบายกับสื่อ Irish Examiner ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับสมองเมื่อขาดออกซิเจนก็เหมือนกับคนจมน้ำ ขาดอากาศหายใจ หรือภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ถ้าสมองไม่มีออกซิเจนมากกว่า 3 นาที มีโอกาสที่สมองจะเสียหายและถ้ามากกว่า 5 นาทีก็มีโอกาสเสียชีวิตเลย”
เพื่อน ๆ ของลีออนบอกกับผู้สื่อข่าวว่าลีออนดูชาเลนจ์อันนี้จริง ๆ และหลังจากนั้นระหว่างที่เฟสไทม์กับเพื่อน ๆ ก็ลองทำดู แต่สุดท้ายเรื่องก็บานปลายและลีออนก็เสียชีวิตลงจริง ๆ คุณแม่ของลีออนบอกว่า “ฉันได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างเพราะข่าวของ อาร์ชี แบตเตอร์สบี แต่คุณไม่คิดหรอกว่าลูกของคุณจะทำบ้าง ชาเลนจ์ออนไลน์เหล่านี้ไม่คุ้มค่ากับชีวิตของพวกเขาเลย ไม่คุ้มค่ากับจำนวน ‘ไลก์’ หรืออะไรก็ตามที่อยากได้เลย”
โฆษกของ TikTok ออกมาแสดงความเสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แก่ครอบครัวของลีออน และบอกว่าตอนนี้บริษัทพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะป้องกันการแชร์วิดีโอเหล่านี้ออกไปและถ้ามีใครค้นหาบนแพลตฟอร์มก็จะแสดงผลเป็นอย่างอื่นแทน แต่ถึงยังไงก็ตามคดีความเกี่ยวกับเรื่องนี้ TikTok ถูกปกป้องจากข้อกฎหมายที่วางเอาไว้อยู่แล้ว
มีคุณแม่ของผู้เสียหายครอบครัวหนึ่งฟ้องว่า TikTok กำลัง “โปรแกรมเด็ก ๆ เพื่อผลประโยชน์ขององค์กรและส่งเสริมการเสพติด” ในขณะที่เป็น “แอปที่อันตรายและบงการพฤติกรรม” ซึ่งผลักดัน “ชาเลนจ์ที่อันตรายอย่างยิ่งและยอมรับไม่ได้” แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2022 ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางมีคำสั่งยกฟ้อง โดยบอกว่าว่าพรบ.ความเหมาะสมในการสื่อสาร (Communications Decency Act) ปกป้องแพลตฟอร์มออนไลน์จากการรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่แบ่งปันโดยผู้ใช้บุคคลที่สาม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าผู้ที่เป็นแพลตฟอร์มไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยบุคคลอื่น
แต่ถึงยังไงก็ตามคดีเหล่านี้ก็ยังไม่จบง่าย ๆ ทนายตัวแทนครอบครัวผู้เสียหายไม่ได้ต้องการให้ TikTok เป็นผู้รับผิดว่าเป็นคนที่สร้างวิดีโอ แต่อยากให้ออกมารับผิดชอบว่าแอปฯของพวกเขานั้นทำเรื่องที่อันตราย สร้างสภาพแวดล้อมที่ชาเลนจ์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มถูกโปรโมตอย่างมาก ทำให้คนสนใจเยอะและเป็นประโยชน์ต่อตัวแพลตฟอร์มเอง
ในตอนนี้ TikTok ยังไม่ได้มีความผิดอะไรติดตัวและเราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าจะมีชาเลนจ์อะไรที่อันตรายต่อชีวิตอื่น ๆ มาเพิ่มอีกไหม สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่จะหวังพึ่งพาระบบหรือให้แพลตฟอร์มตัวกลางที่ได้รับผลประโยชน์จากความนิยมของคอนเทนต์และเทรนด์ต่าง ๆ มาช่วยป้องกันคงเป็นไปไม่ได้ พ่อแม่ต้องคอยตรวจสอบมือถือของเด็กอยู่บ่อย ๆ เพราะไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เด็ก ๆ เห็นคืออะไรบ้างและมันมีอันตรายแค่ไหน
เพราะยังไงเด็ก ก็คือเด็ก พวกเขาไม่รู้ว่าความท้าทายที่ดูสนุก ๆ บ้าบอบางอย่างเป็นความท้าทายที่มีความตายเป็นเดิมพันด้วยเช่นกัน
Bloomberg People CDC.GOV
WTMJ Daily Mail Irish Examiner
Women Health Magazine Standard
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส