.
ชีวิตของคนเราหลาย ๆ คนก็มักจะถึงจุดที่ต้องพลิกผัน ต้องเกิดการผลัดหมุนเวียนได้ด้วยจุดเปลี่ยนอะไรบางอย่าง แต่ความน่าสนใจของดาราหนุ่มอารมณ์ดี ดีกรีหนุ่มหล่อ Chula Cute Boy และรายการ The face men Thailand Season 2 อย่าง ป๊อปปี้ รัชพงศ์ อโนมกิติ คือจุดเปลี่ยนที่ไม่ใช่แค่ถูกบังคับให้เปลี่ยน แต่เป็นการเปลี่ยนอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง จนทุกวันนี้สิ่งที่เขาเปลี่ยนก็นำพาเขาไปไกลกว่าที่คิด
ปัจจุบัน นอกจากเขาจะเป็นทั้งนักแสดง นายแบบ พิธีกร และยูทูบเบอร์แห่งช่อง DoMunDi TV แล้ว เขากำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นทาเลนต์ของ beartai ในยูนิต Lemonade ที่คราวนี้อาจจะเปลี่ยนเขาจากภาพลักษณ์ของหนุ่มหล่ออารมณ์ดี ไปเป็นหนุ่มไอทีที่สนใจรถ EV และการลงทุน
อัปเดตชีวิตให้แฟน ๆ beartai รู้หน่อยทำอะไรอยู่บ้างตอนนี้
ตอนนี้กำลังถ่ายซีรีส์อยู่ครับ มี 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ ‘Chains of heart ตรวนธรณี’ ที่จะออกอากาศทางช่อง 3 และอีกเรื่องคือ ‘PUNKSPY the series’ ที่คาดดว่าจะออกอากาศทางช่อง ONE 31 ครับ ส่วนงานด้านพิธีกรที่ทำอยู่ตอนนี้ก็คือ รายการบางกอกกระซิบ และรายการ แซ่บพาซ่าส์ ออกอากาศวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.50 น. ทางช่อง 3 นอกจากนี้ก็จะมีงานออกอีเวนต์ แล้วก็ทำช่อง YouTube ก็จะมีที่ทำเองส่วนตัวก็คือช่อง Poppy Pyramid ปี้และมิตร และที่ทำกับเพื่อน ชื่อว่า ดูมันดิ (DoMunDi TV) ที่ตอนนี้ก็ยังทำอยู่ครับ ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นงานหลักเลยก็ว่าได้
ตอนเรียนคุณเป็นเด็กเรียนหรือเด็กกิจกรรม
เริ่มเล่าแบบนี้แล้วกันครับ คือผมเรียนจบจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ แล้วตอนนั้นผมได้รับมอบหมายให้เป็นประธานฝ่ายกีฬาของคณะ เราก็เหมือนเป็นตัวแทนของนิสิตไปร่วมประชุม ทำงานโน่นนี่ของคณะอะไรแบบนี้ครับ แล้วก็ทำงานสันทนาการ เป็นพิธีกร ทำกิจกรรมทั้งของคณะและภาควิชาตลอดเวลา
คือจริง ๆ ผมเป็นเด็กกิจกรรมที่แทบจะไม่เอาการเรียนเลยครับ โดยเฉพาะปี 2-ปี 3 ตอนเข้ามาปี 1 เพื่อนรอบข้างผมนี่คือมีแต่เก่ง ๆ ทั้งนั้น แต่ผมไม่เอาเรียนเลยจริง ๆ แต่จุดเปลี่ยนคือตอนสอบมิดเทอม เพื่อนที่เรียนเก่ง ๆ เขาก็ทำคะแนนสอบได้ดีนะครับ ผมนี่เกรดขี้เหร่มาก แต่กลายเป็นว่าเพื่อน ๆ ที่เขาเรียนเก่งดันซิ่วออกไปหมด ดันเหลือแต่ผมที่เรียนต่อ แล้วก็ต้องใช้เกรดพวกนี้ในการเรียนต่อไป
ก็เลยเกิดความลำบากใจนิด ๆ ว่าเราจะมัวแต่เอากิจกรรมอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ก็เลยตั้งใจอ่านหนังสือ เป็นช่วงที่ผมกลับบ้านอ่านหน้งสืออย่างเดียวอยู่ 2 ปี พอเข้าปี 4 เกรดผมเริ่มแตะเกรด 3 ก็เลยสมัครเป็นประธานคณะเลย คือพยายามทำอะไรก็ได้ที่ห่างจากการเรียน เพราะว่า 2 ปีที่ผ่านมาผมอยู่แต่กับการเรียนมาตลอด
ตอนนั้นเขาพูดถึงกันยังไงตอนที่คุณได้เป็น Chula Cute Boy
ตอนนั้นน่าจะอยู่ช่วงปี 2 ครับ จำได้ว่าน่าจะช่วงสงกรานต์ แล้วมีเพจนี้แหละที่เอารูปผมไปลง ตอนนั้นเอาจริง ๆ ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมเป็นหนุ่มหล่อ หนุ่มฮอตอะไร รู้ตัวแค่ว่าเป็นคนสำอางประมาณหนึ่ง โดนแดดไม่ได้ เดี๋ยวสิวขึ้น อะไรแบบนี้ ต้องทายาทั้งวัน แล้วมีเครื่องสำอางเยอะมาก แล้วก็กลัวทุกอย่าง กลัวฝุ่น กลัวน้ำ ใครเอามือมาแตะหน้าก็ไม่ได้ เพราะกลัวสิวจะขึ้น คือในมุมหนึ่ง คนก็จะมองว่าผมเป็นผู้ชายสำอางแหละ แต่ยังไม่เคยมีใครมาชมว่าผมหน้าตาดี จนที่เพจเขาเอารูปผมไปลงนี่แหละครับ เขาก็เลยพูดกันว่าคณะวิทยาศาสตร์มีของดี (ยิ้ม)
พอมีคนเข้ามากดไลก์ มีคนเข้ามาทัก ตอนนั้นก็รู้สึกอยู่ช่วงหนึ่งว่า เราก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันว่ะ ใครที่เห็นเราจากเพจนั้นก็จะจำเราได้นั่นแหละ ก็เลยกลายเป็นคนที่รู้จักในจุฬาฯ ในระดับหนึ่งแล้วแหละ ผมเองก็ยอมรับว่าตอนนั้นก็รู้สึกยืดอก รู้สึกมั่นใจว่ามีคนรู้จักเยอะ แต่กลายเป็นว่า ก็มีคนรู้จักเฉพาะในจุฬาฯ เท่าเดิมนั่นแหละ ยังไม่ได้มีคนข้างนอกรู้จักเรามากขนาดนั้น เหมือนหลงระเริงไปช่วงหนึ่ง พอหลังจากนั้นประมาณเดือนสองเดือน ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนปกติ แล้วเพจก็เอาผมไปลงอีกตอนปี 4 ซึ่งตอนนั้นคนก็รู้จักแล้วแหละ แต่ก็อาจจะไม่ได้ถึงกับมีแฟนคลับอะไรขนาดนั้น
คนนอกรู้จักคุณในระดับหนึ่ง แล้วเพื่อนรอบ ๆ คุณล่ะ เขาพูดถึงความดังของคุณในตอนนั้นยังไงบ้าง
ตอนนั้นเพื่อนแซวทั้งวัน (หัวเราะ) เวลาผมเดินไปคณะอื่น หรือเดินไปไหนกับเพื่อน เพื่อนก็จะคอยแกล้งชี้ผมแล้วก็บอกว่า “นี่คิวต์บอยนะ ๆๆ ” คืออารมณ์แบบแกล้งน่ะ ยิ่งผมเป็นคนขี้อาย เป็นคนเขินง่าย เพื่อนก็จะยิ่งชอบแกล้งใหญ่เลยว่า “นี่จุฬาฯ คิวต์บอยเลยนะมึง…” ซึ่งจริง ๆ แล้วผมไม่ได้มีอะไรเลยครับ ก็เป็นคนธรรมดา ๆ นี่แหละ เอาจริง ๆ คนก็รู้จักเราประมาณหนึ่งเท่านั้นแหละ แต่เพื่อนจะชอบอวยยศแบบแซว ๆ ผมว่าเป็น จุฬาฯ คิวต์บอย
คุณมีความคิดอยากจะเป็นคนมีชื่อเสียงอะไรแบบนี้ไหม หรือไม่เลย
ตอนเด็ก ๆ ผมอยากเป็นตำรวจครับ หรือจริง ๆ แล้วเป็นทหารก็ได้ ตอน ป.1 – ป.2 ผมก็จะบอกกับผู้ใหญ่แบบนี้ ซึ่งพ่อแม่เขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร จนกระทั่งพอผมเข้า ม. ต้นที่จะต้องสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย จปร. แล้วผมเห็นเพื่อน ๆ ที่เขาเตรียมตัวจะเข้าโรงเรียนนายร้อยเหมือนกัน แล้วผมเห็นว่าการเตรียมตัวมันยากมาก ต้องฝึกวิ่ง ว่ายน้ำ เล่นรักบี้ ทำโน่นทำนี่หลายอย่างเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันหนักเกินไปว่ะ เราไม่ได้เป็นคนฟิตขนาดนั้น
พอผมไปปรึกษาพ่อแม่ เขาก็บอกว่า ถ้าเป็นในต่างประเทศ ตำรวจจะค่อนข้างได้รับการยอมรับ แต่ในเมืองไทยอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีป๊อปปี้อาจจะไม่ชอบก็ได้ ลองคิดให้ดี ถ้าอยากเป็นก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่อยากก็ไม่เป็นไร ประกอบกับว่าเวลาเราเห็นตำรวจคอยโบกตอนพ่อขับรถ บางเหตุการณ์เราเองก็ยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกประทับใจเท่าไหร่ ก็เลยรู้สึกว่า เราอาจจะไม่ได้ชอบอาชีพนี้ก็ได้มั้ง คือตำรวจที่ดีก็มีนะครับ ถ้าผมได้เป็นตำรวจ ก็อยากเป็นตำรวจที่ดี แต่สุดท้ายผู้ใหญ่ก็บอกว่า ต่อให้เรามีเจตนาที่ดี แต่บางทีด้วยสังคม ด้วยแรงกดดันบางอย่าง มันก็อาจจะทำให้คุณกลายไปเป็นอีกคนก็ได้ ผมก็เลยรู้สึกว่า เออ ตัดใจดีกว่า เป็นอะไรก็ได้ ช่างแม่ง
จนกระทั่งเข้า ม.ปลาย กลายเป็นว่าผมไม่เอาการเรียนเลยครับ เป็น 3 ปีที่ผมไม่เอาอะไรเลย แต่ด้วยความที่พ่อกับแม่มีลูก 4 คน ผมคนที่ 3 แล้วพี่ 2 คนแรก สอบเข้าในคณะและมหาวิทยาลัยดี ๆ ทั้งนั้น ผมเลยรู้สึกว่าคงไม่ได้เป็นคนที่โดนกดดันเรื่องการเรียน ผมขอเรียนมหาวิทยาลัยใกล้ ๆ บ้านก็ได้ ขับมอเตอร์ไซค์ไปเรียนก็ได้ ชิลล์ ๆ แต่ว่าสุดท้ายด้วยความที่ว่าที่บ้านขอให้เราเรียน ก็เลยไปสอบ แต่กลายเป็นว่าสอบไม่ติดสักที่เลย และตอนนั้นน้ำท่วมด้วย เราก็เลยมีเวลาอ่านหนังสืออย่างเดียวอยู่ 2 เดือน ก็เลยเอาแต่อ่านหนังสือ เอาข้อสอบมาสอบ ไม่ได้ไปไหนเลย พักแค่ตอนกินข้าวเท่านั้น ก็เลยสอบติดครับ
เท่าที่ฟังชีวิตคุณมาคร่าว ๆ เหมือนคุณเป็นคนที่พลิกชีวิตได้ด้วยจุดเปลี่ยน อะไรแบบนั้นหรือเปล่า
ชีวิตผมมีจุดเปลี่ยนเยอะครับ เวลาที่ผมเปลี่ยนอะไรบางอย่าง มันมักจะเกิดจากการที่ผมรู้ตัวว่าผมพลาดมันไปแล้ว อย่างตอนที่ผมจะเข้าจุฬาฯ มันก็เป็นเพราะว่าผมพลาดที่สอบไม่ติดหลาย ๆ ที่มาก่อน แล้วก็ต้องไปสอบซ่อม ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโนบิตะแบบนั้นเลย โดยเฉพาะอารมณ์ตอนเวลากลับมาบ้าน ผมก็จะกลับมาบอกแม่ว่า ม้า ป๊อปปี้สอบตกอีกแล้วนะ ไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว อะไรแบบนี้
แม่เขาก็จะหัวเราะนะ แล้วก็ส่ายหัว เหมือนแบบ เออ ๆ แต่ลึก ๆ ผมว่าเขาคงเสียใจ เพราะว่าพี่ชายคนโตผมเรียนโคตรเก่งเลย ได้ที่ 1 ของชั้นตลอด พี่ชายคนรองก็เรียนดีมาก แต่ผมเป็นคนที่ไม่เอาไหน มันเลยกลายเป็นว่าจุดเปลี่ยนชีวิตผมหลาย ๆ อย่างก็เริ่มจากคุณแม่ เหมือนอยากทำให้เขาภูมิใจ อยากได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ ผมว่าผมเป็นคนแบบนั้น
คุณมีภาพของตัวเองในวงการบันเทิงบ้างไหม
จริง ๆ ก็ไม่มีเลยครับ เพราะว่าคนในครอบครัวก็ไม่มีใครที่อยู่ในสายนี้เลย ผมเรียนวิทยาศาสตร์ใช่ไหมครับ ภาพอนาคตที่อยู่ในหัวผมหลังเรียนจบก็คือ ก็คงต้องไปเป็นพนักงานออฟฟิศกินเงินเดือน อาจจะใส่เสื้อกาวน์อยู่ในห้องแล็บ หรืออาจจะเข้าไปอยู่ในโรงงาน มีภาพแค่นี้เลยครับ จนกระทั่งผมเข้าไปฝึกงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ผมจำได้ว่าผมยืนอยู่หน้าขวดเครื่องดื่มชูกำลังวิ่งผ่านหน้าไปเป็นหมื่น ๆ ขวด อยู่ดี ๆ ผมก็คิดขึ้นว่า กูกำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย กูกำลังมองอะไรอยู่ เหมือนมันว่างเปล่าไปเลย แล้ววันนั้นมันก็ทำให้ความรู้สึกอยากทำแบบนี้มันน้อยลงไป ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าจบไป อยากทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่อะไรแบบนี้
ประกอบกับว่าตอนนั้นผมเริ่มหันมาออกกำลังกาย ก็เลยเริ่มมีโมเดลลิงติดต่อไปเดินแบบ แล้วตอนนั้นพี่ชายผม 2 คนทำงานประจำ ในขณะที่เขาต้องตื่นเช้าทำงานทั้งเดือนเพื่อจะได้เงินจำนวนหนึ่ง ผมทำงานแค่ 3 งานต่อเดือนเอง โอเค เรื่องเงินได้เท่ากัน แต่ในขณะที่พี่ชายผมต้องออกไปทำงานทุกวัน ผมกลับทำงานแค่ 3 งานเอง ตกลงผมอยากได้เงินหรืออยากทำงานกันแน่วะ
ตอนนั้นก็เลยเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า คราวนี้จะออกไปแคสต์งานแม่งทุกวันเลย โฆษณา ซีรีส์ บ้าบออะไรไปหมด เชื่อไหม ผมแคสต์ 70-80 งาน ผมแม่งไม่ได้สักงาน คนอื่นอย่างน้อย ๆ ก็ต้องได้ 1-2 งาน แต่ผมไม่ได้เลย แล้วบ้านผมอยู่ไกลด้วย ก็ต้องนั่งรถไป ๆ มา ๆ แบบนี้ทุกวัน ๆ จนคิดว่า ให้โอกาสอีก 1 เดือนสุดท้าย ถ้าไม่ได้งานอีก ผมจะกลับไปทำงานประจำตามสายงานที่เรียนเหมือนเดิมเหมือนเป็นเฮือกสุดท้าย
คือจริง ๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้งานอะไรเหมือนเดิมนะครับ จนกระทั่งมีรุ่นพี่คนหนึ่ง ก็คือพี่อ๊อฟชั่น (กิตติพัฒน์ จำปา) ไปแคสต์งานหนึ่ง พอพูดคุยกัน ก็เลยตกลงว่าอยากรวมแก๊งเพื่อน ๆ ที่รู้จักกันมาทำช่อง YouTube ไหม นั่นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของช่องดูมันดิ คือแคสต์ 70-80 งาน ดันไม่ได้สักงาน แต่กลายเป็นว่ามาได้งานกับ ‘ดูมันดิ’ ที่นอกจากจะมีกระแสในโลกโซเชียล มีคนรู้จักเรามากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เราได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ได้ทำโน่นทำนี่ด้วย
คำจัดความของช่อง ‘ดูมันดิ’ ที่คุณทำคืออะไร แล้วคุณมีหน้าที่อะไรในช่องบ้าง
ถ้าจัดความสั้น ๆ ก็คือ มันเป็นช่องที่มีกลุ่มผู้ชายที่อยากเป็นคนเที่ยวแทนคนดูครับ มีหลายคนบอกว่าเวลาดูคลิปของช่องดูมันดิ เขาจะรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยตัวเองผ่านหน้าจอ แล้วก็มีความสุขกับการได้เห็นกลุ่มแก๊งผู้ชายออกไปทำอะไรสนุก ๆ มันอาจจะเป็นเพราะว่าจริง ๆ กลุ่มคนที่ดูพวกเรา จะเป็นกลุ่ม First Jobber ซะเยอะ และกลุ่มคนวัยนี้มักจะเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเท่าไหร่แล้วนะ จะนัดเพื่อนแต่ละทีก็ยาก พวกผมก็เลยเหมือนเป็นตัวแทนของคนกลุ่มนี้ ออกไปท่องเที่ยวและถ่ายทอดโมเมนต์ของเมืองนั้น ๆ กลับมาให้คนดูได้ดู
ส่วนหน้าที่ผมในช่องก็คือ ผมจะเป็นสายตลกครับ เป็นคนสร้างสีสันให้กับรายการ เล่นอะไรก็ได้ แป้กก็เล่นไป เดี๋ยวเอาตัดต่อเข้าช่วย เน้นเอาสนุกเลย เหมือนเราเป็นผู้ชายที่อาจจะไม่ได้ซีเรียส ต้องมานั่งคิดถึงอนาคต หรือจะต้องทำงานอะไร โตไปเป็นอะไร ผมเหมือนเป็นตัวแทนของคนที่คิดแต่ว่าวันนี้จะสนุกได้ยังไง ได้แค่ไหน เหมือนคนที่ไม่วางแผนห่าเหวอะไรเลย อยากไปไหนก็ไป เอาสนุกอย่างเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วเบื้องหลังผมจริงจังนะครับ คอยจดจำมุกต่าง ๆ เพื่อจะเอาไปเล่นในช่องนี่แหละ ฮาบ้างไม่ฮาบ้างก็เล่นไป เพราะว่าไม่อยากให้คนดูเบื่อ
ในแง่ของคอนเทนต์ รายการท่องเที่ยวเป็น Topic ที่คนทำใน YouTube เยอะมาก อะไรที่คุณคิดว่าเป็นจุดแข็งของช่อง ‘ดูมันดิ’
สำหรับผม ผมว่า ‘ดูมันดิ’ มันต่างจากชาวบ้านตรงที่ช่องของเราไม่ได้ตายตัวว่าเป็นช่องท่องเที่ยวจ๋า ๆ อะไรแบบนี้ครับ แต่มันมีความเป็นวาไรตี้ที่หลากหลายด้วย ทั้งรีวิวร้านอาหารใหม่ ๆ รีวิวยางรถยนต์ก็เคยทำ บ้าน ตู้เย็น ลูกค้าจ้างมาเรารับหมด อย่างที่บอกครับว่า ‘ดูมันดิ’ มันคือกลุ่มผู้ชายที่ชอบทำอะไรบางอย่างร่วมกัน ชอบไปสนุกกัน แล้วก็อยากชวนให้ทุกคนมาดู มาสนุกด้วย มันเลยมีความหลากหลายมาก แล้วสมาชิกแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเลย บางคนก็พูดไม่เก่ง บางคนก็เน้นเป็นสายหล่อ นิ่ง ๆ บางคนก็สายเนื้อหาแน่น ๆ ส่วนผมก็เป้นสายตลกไป ซึ่งผมก็จะไม่พูดเนื้อหาอะไรเลย เน้นตลกอย่างเดียว โดยรวม ๆ มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เหมือนมาทำงาน แต่เหมือนมาเที่ยวเล่นกับเพื่อน แต่ได้เงิน
ตอนนี้คุณเหมือนกับเป็นยูทูบเบอร์ไปแล้ว คุณคิดว่ายุคนี้อะไรที่ยากที่สุดสำหรับยูทูบเบอร์ในการทำคลิป YouTube
ผมว่าความยากที่สุดคือเรื่องความสม่ำเสมอ สำหรับผมนะครับ ซึ่งเอาจริง ๆ พูดตามตรงก็คือ คลิปในช่อง ‘ดูมันดิ’ ทุกวันนี้ก็พยายามเปลี่ยนเนื้อหาไปเรื่อย ๆ นะครับ ถ้าย้อนไปดูคลิปแรกกับคลิปล่าสุดจะเห็นว่ามันจะไม่เหมือนกันเลยนะ อย่างตอนนี้ก็เน้นไปที่เรื่องของคู่จิ้น ซีรีส์วาย อะไรแบบนี้ ความยากสำหรับผมก็คือเรื่องของคอนเทนต์ที่จะทำ และความสม่ำเสมอในการลงคลิป เพราะเราก็ต้องคอยคิดคอนเทนต์ตลอดว่าจะทำอะไรดี คนดูจะชอบไหม อะไรเป็นกระแส
พอคิดได้แล้วก็ต้องรีบลงมือทำอีก ไม่งั้นมันก็จะไม่สม่ำเสมอ พอไม่สม่ำเสมอ คนดูก็จะรู้สึกว่า วันนี้ดูมันดิจะลงคลิปไหมวะ พรุ่งนี้ก็ไม่ลง มะรืนนี้ก็ไม่ลง ไม่ดูแม่งแล้วกัน ความสม่ำเสมอ ความต่อเนื่องในการลงคลิปเลยสำคัญมาก ขนาด ‘ดูมันดิ’ เองก็เคยมีช่วงมา ๆ หาย ๆ บ้าง มันก็เลยเป็นความยากอย่างหนึ่ง สำหรับยูทูบเบอร์ บางทีมันก็บอกไม่ได้หรอกว่ามันจะปังที่คลิปไหน ขอแค่ว่าอย่าท้อ ทำไปเถอะ คิดคอนเทนต์ที่คนอยากดู แล้วทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ มันก็น่าจะมีคลิปที่ปังแน่ ๆ แหละสักวัน ผมคิดแบบนี้นะครับ
เท่าที่ทราบคือ คุณเคยมีจุดที่อยากจะออกจากวงการหลายครั้งเหมือนกัน สรุปหน่อยว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น
น่าจะมีสัก 3 ช่วงครับ ที่ผมอยากจะออกจากวงการ ช่วงแรกก็คือที่แคสต์งานเยอะ ๆ แล้วไม่ผ่านเหมือนที่เล่าไปแล้ว ครั้งที่ 2 ก็คือ ตอนทำดูมันดิไปสักพักแล้วเริ่มอิ่มตัว ก็เลยคิดว่าอยากจะเดินบนเส้นทางของตัวเองด้วยการไปแคสต์ละครกับซีรีส์ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ดี ได้เต็มที่ก็ไปรับเชิญตอนสองตอน ก็เลยเริ่มคิดว่าอยากออกจากวงการ เพราะเราเองคงไม่ได้แมสขนาดนั้น
กับอีกครั้งคือตอนเข้าไปประกวด ‘The Face Men Thailand Season 2’ ผมก็เลยคิดว่าไปประกวดดีกว่า ตอนแรกที่คนรอบข้างได้ยินก็พูดกันว่าผมไม่น่าจะได้ เพราะว่าคนที่ประกวดเขามีแต่สูง ๆ ทั้งนั้น ผมก็เลยฟิตร่างกายเหมือนเป็นนักเพาะกายเลย แล้วก็ไปประกวด ปรากฏว่า พี่หมู อาซาว่า เป็นคนเลือกเราเพราะว่าเขาเห็นว่าเราพอมีประสบการณ์จากการทำยูทูบ อาจจะไม่สูงแต่ว่าน่าจะมีของ ผมจำได้เลยว่าตอนที่พี่หมูเลือกผม ผมร้องไห้เลย เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่มีคนยอมรับผม
จนเข้าไปได้ 4 E.P. ตอนนั้นที่ผมอยู่ ด้วยความที่ผมเองก็ไม่ได้คิดมาก ผมก็เลยวางตัวเองให้เป็นคนสนุก ๆ เหมือนตอนทำดูมันดิ เพราะผมคิดว่ามา The Face ก็คงเหมือนมาสนุกกับเพื่อน ผมก็เลยพูดเยอะ แต่พอตัดต่อออกมา มันกลายเป็นว่าผมดูเป็นคนปากหมาไปเลย ดูเป็นคนพูดจาไม่คิด แซะคนโน้น โจมตีคนนี้
ทั้งที่จริง ๆ ผมไม่ได้โจมตีใครเลย ทุกคนในนั้นก็สนิทกันหมด เรากับเขาก็พูดกันแบบนี้ คุยหลังกล้องเราก็คุยเล่นกันแบบนี้ มันก็เลยทำให้ตอนนั้นผมเศร้ามาก แล้วก็คิดว่างั้น E.P. 5 ออกเลยดีกว่า ไม่อยู่แล้ว โปรดิวเซอร์ก็เลยโทรมาบอกว่าอยากให้สู้ต่อไป เพราะว่าเรามีความสามารถ ตอนนั้นก็ทำให้ผมคิดได้ว่า มาเล่น ๆ ไม่ได้แล้ว ต้องเอาจริงเอาจังกว่านี้ ตอนนั้นก็เลย ก็เลยอยู่จนถึง Final Walk แม้ว่าจะไม่ชนะ แต่ว่าตอนนั้นคนก็ชื่นชมมากขึ้น แล้วผมก็โคตรภูมิใจเลย เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิต
จุดเริ่มต้นในการเป็นทาเลนต์กับ Lemonade ได้อย่างไร
จริง ๆ ตัวผมติดตาม beartai อยู่แล้วครับ แล้วเห็นทาเลนต์แต่ละคนนี่คือความสามารถนี่คือน่าจะเรียกได้ว่าระดับท็อปของสายงานแนว ๆ นี้แล้วล่ะมั้ง ซึ่งผมเวลาคิดถึง beartai ก็จะคิดถึงพวกเขานี่แหละ เหมือนเป็นไอดอลของช่อง แล้วพอมีคนชวนมา ถามผมว่าอยากลองทำตรงนี้ดูไหม ผมดีใจมาก เพราะผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ เพราะว่าผมทำงานทุกวันนี้ เราก็มีจุดสูงสุดของเรา และการได้เข้ามาทำงานเป็นทาเลนต์ มันก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเติมเต็มความฝันให้เราได้ ตอนที่ได้ยินคนชวน ผมเลยรู้สึกว่าโคตรดีใจเลย โคตรอยากทำงานนี้มาก ๆ
ตัวคุณเองเตรียมตัวสำหรับการเป็นทาเลนต์อย่างไรบ้าง
อย่างที่บอกครับ คือผมติดตามมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละ ในมุมของผมคือ beartai คือช่อง YouTube ที่เกี่ยวกับเรื่องไอทีที่ใหญ่มาก ๆ สมมติว่าผมจะซื้อมือถือสักเครื่อง ผมก็ต้องเข้าไปดู beartai หรือแม้แต่เรื่องไอทีเรื่องอื่น ๆ หรือแม้แต่การรับมือกับเทรนด์ต่าง ๆ โอเค แม้ว่าผมจะไม่ได้เข้ามาดูบ่อยถึงขนาดว่าดูทุกคลิปอะไรแบบนี้นะครับ แต่ว่าผมก็ติดตามอยู่เรื่อย ๆ เห็นความเคลื่อนไหวตลอด ก็เลยรู้สึกเหมือนว่าผมไม่ต้องทำการบ้านอะไร เพราะปกติก็ดูอยู่เรื่อย ๆ อยู่แล้ว
แต่จะบอกว่าไม่ทำการบ้านก็ไม่ขนาดนั้นครับ แต่มันอาจจะเป็นเพราะว่าตลอดเวลาที่ผมทำงาน ผมชินแล้วกับการทำการบ้านมากกว่า ผมชินกับการทำการบ้าน หาข้อมูลในเชิงลึกอยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำการบ้านว่า เราจะต้องพูดเรื่องอะไรบ้าง แล้วเราควรจะรู้เรื่องอะไรบ้าง แล้วด้วยความที่ผมก็เคยมีประสบการณ์ในการทำพิธีกรอีเวนต์ด้านไอทีมาบ้าง เช่นพวกงานเปิดตัวมือถือ มันก็เลยเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราอยู่แล้ว ถ้าถามว่ากดดันไหม ผมว่าไม่กดดัน แต่แค่ผมอาจจะต้องจำพวกคำศัพท์เฉพาะทางให้มากขึ้น เวลาพูดก็ต้องปรับให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น เพื่อให้รีวิวออกมาดูเป็นธรรมชาติ อะไรแบบนี้ครับ
ตอนนี้คุณสนใจด้านไอทีเรื่องไหนมากที่สุด
ในแง่หนึ่ง เรื่องไอทีที่ผมสนใจมากที่สุด ณ เวลานี้ก็คือ รถ EV ครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าผมชอบเทสลา (Tesla) ชอบแนวคิดของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีหัวก้าวหน้ามาก เพราะในยุคที่คนยังใช้น้ำมันอยู่ เขาเป็นคนที่ปฏิวัติด้วยการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า แล้วมันไม่ใช่แค่ว่าผลิตขึ้นมาเพราะว่าต้องดูรักโลกอย่างเดียว แต่เขาทำแบรนด์ ทำตัวถังโน่นนี่ให้มันดูเท่ ให้ตัวรถมันแรงขึ้นกว่าเดิม ผมก็เลยคิดว่า รถ EV นี่แหละที่จะเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนโลกได้
ถ้าสมมติว่าคุณได้มีโอกาสคิดเนื้อหาทำคลิป และเป็นทาเลนต์ด้วยตัวเอง อยากทำเนื้อหาอะไรมากที่สุด
ถ้าผมต้องทำคลิปเอง คงเป็นสิ่งที่ผมสนใจมากที่สุดในช่วงโควิดที่ผ่านมาครับ นั่นก็คือเรื่องของการลงทุน อาจจะไม่ถึงกับลงทุนในบิตคอยน์นะ แต่อาจะเป็นหุ้นไทย หรือหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่น่าสนใจและน่าลงทุน เหมือนเป็นการอัปเดตว่าแต่ละบริษัทมีโปรเจกต์ไปถึงไหนแล้ว กำลังทำอะไรอยู่บ้าง
หรือสมมติว่า อยู่ดี ๆ แบรนด์ Tesla จะออกรถคันใหม่ที่ไม่ใช้คนขับอีกต่อไป หุ้นก็จะขึ้น แต่ถ้ามีข่าวว่าไปประสบอุบัติเหตุ หุ้นก็จะลง ผมเลยรู้สึกว่าผมอยากเป็นคนหนึ่งที่คลุกคลีกับข่าวสารเหล่านี้ และอยากเป็นคนที่เอาข่าวนี้บอกเล่าให้กับคนที่สนใจเรื่องการลงทุนที่ติดตามช่องอยู่ว่า หุ้นตัวไหนน่าสนใจ หุ้นตัวไหนน่าซื้อ หุ้นตัวไหนไม่น่าซื้อ ทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ อะไรแบบนี้ครับ
เนื้อหาแบบนี้ต้องไปลงในเพจ beartai BRIEF ถ้าทางนั้นชวนคุณไปทำเรื่องนี้ คุณสนใจไหม
สนใจมากครับ ยินดีมาก ๆ เลย เพราะว่าผมก็เป็นคนที่สนใจการลงทุน แล้วก็เป็นคนที่ลงทุนเองอยู่แล้วด้วย ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราทำไปด้วย และอยู่ในความชอบของเราด้วย ถ้ามีโอกาสเข้ามาก็ถือว่าเป็นเรื่องดีครับ (ยิ้ม)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส