ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Apple วางตัวเองตัวเองไว้ว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับ ‘ความเป็นส่วนตัว’ ของผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก มีข่าวหลายครั้งที่ปฏิเสธการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานโดยรัฐบาล และล่าสุดก็ปิดกั้น Facebook ที่คอยติดตามพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าบนอุปกรณ์ iOS จนสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจโฆษณาของ Facebook ไปแล้วหลัก 10,000 ล้านเหรียญ

ถ้าดูเพียงเท่านั้น Apple เหมือนอัศวินม้าขาวผู้คอยปกป้องผู้ใช้งานจากภัยร้ายด้านนอก แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ?

ที่ผ่านมานั้น Apple ถูกมองว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขายฮาร์ดแวร์ราคาพรีเมียมที่มาพร้อมดีไซน์ที่สวยงามอย่าง iPhone, iPad, iMac หรือ Macbook รุ่นต่าง ๆ

แต่ช่วงหลัง ๆ เราจะเห็นโมเดลของธุรกิจที่เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจน พวกเขาหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องบริการออนไลน์ ระบบสมาชิกอย่าง Apple Music, iCloud หรือ Apple TV พวกนี้มากขึ้น และที่เติบโตไปพร้อมกับในส่วนนี้ก็คือสัดส่วนรายได้ของธุรกิจโฆษณา ซึ่ง Bloomberg รายงานในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า Apple ทำไปได้ 4,000 ล้านเหรียญ และคาดหวังว่าจะทำให้มันเพิ่มขึ้นเท่าตัวในอนาคต

เพราะฉะนั้นตอนนี้ผู้ใช้งานอุปกรณ์ของ Apple จะเริ่มเห็น ‘โฆษณา’ บนอุปกรณ์ของตัวเองมากยิ่งขึ้นผ่านแอปของ Apple เอง แค่นั้นยังไม่พอ ที่สำคัญคือที่ผ่านมา Apple นั้นได้เก็บข้อมูลของผู้ใช้งานมาโดยตลอด ซึ่งก็ไม่ต่างจากธุรกิจอื่น ๆ เลย

ถ้าขยี้ตามองดูอีกที อัศวินขี่ม้าขาวที่คอยปกป้องเราจากคนข้างนอก กลายร่างเป็นราชาที่สร้างกำแพงเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากคนภายในเมืองของตัวเองไปเรียบร้อย แม้ว่าจะช่วยให้ผู้ใช้งานให้รอดพ้นจากเงื้อมมือขององค์กรอื่น ๆ ข้างนอก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเช่นเดียวกัน

สิ่งที่ Apple รู้เกี่ยวกับเราโดยพื้นฐาน

(สำหรับคนที่สนใจอยากไปอ่านเกี่ยวกับข้อมูลที่ Apple เก็บจากเราสามารถไปอ่านอย่างละเอียดได้ ที่นี่ครับ ซึ่งก็มีแยกย่อยไปอีกเป็นในส่วนของแอปต่าง ๆ อีกด้วย)

ในเอกสารที่ Apple แจ้งจะเริ่มต้นด้วยข้อความคล้าย ๆ กันบอกว่าพวกเขาเชื่อ ‘เรื่องสิทธิ์ของความเป็นส่วนตัวขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง’ และพยายามที่จะลดการเก็บข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (พูดอีกอย่างก็เหมือนกับว่าพวกเขาเก็บข้อมูลน้อยกว่า Google หรือ Facebook นะ)

เมื่อซื้อสินค้าของ Apple เราจะต้องใส่ข้อมูลส่วนตัวเองแล้วเพื่อสมัครใช้บริการและซื้อแอปต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้ก็มีชื่อ อีเมล รายละเอียดการจ่ายเงิน และ Apple ID ซึ่งก็เป็นข้อมูลที่เราต้องใส่ในการซื้อของต่าง ๆ ออนไลน์

นอกจากนั้นแล้ว Apple จะสามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์ของเราด้วย ตั้งแต่แอปฯที่เราใช้ การค้นหาภายในแอปของ Apple อย่างพวก AppStore, News, Apple TV ฯลฯ และข้อมูลของระบบที่ทำงานผิดพลาดต่าง ๆ ส่วนข้อมูลอื่น ๆ อย่างพวกโลเคชัน ข้อมูลสุขภาพ และการออกกำลังกายพวกนี้คุณต้องให้อนุญาตก่อน Apple ถึงจะเก็บได้ โดยในเอกสารของ Apple บอกว่า

“คุณไม่จำเป็นต้องมอบข้อมูลส่วนตัวที่เราร้องขอไป แต่ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ให้ข้อมูล ในหลาย ๆ กรณี เราก็จะไม่สามารถมอบบริการ หรือผลิตภัณฑ์ หรือตอบสนองต่อสิ่งที่คุณอยากได้”

พูดสั้น ๆ ก็คือว่า ถ้าอยากใช้แอปของ Apple ก็ต้องยื่นหมูยื่นแมว ส่งข้อมูลให้เขาด้วยประมาณนั้นครับ

ในหลาย ๆ กรณี Apple บอกว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple แต่มันถูกประมวลผลบนอุปกรณ์ของผู้ใช้งานเลย อย่างเช่นข้อมูลบน Game Center การแนะนำเพื่อนก็จะมาจากข้อมูลบนเครื่องไม่ได้ถูกส่งไปประมวลผลที่ Apple หรืออย่างข้อมูลสรุปยอดของการใช้บัตรเครดิต Apple Card ที่มาจากประวัติการใช้งานก็ทำบนเครื่องเลยเช่นเดียวกัน Apple บอกแบบนั้น

สำหรับแอปที่จำเป็นต้องแชร์โลเคชันเพื่อการใช้งานอย่าง Apple Maps พวกเขาก็ใช้ ‘Identifier’ หรือข้อมูลระบุตัวเครื่องเพื่อส่งข้อมูล แต่จะไม่มีการผูกตัว Identifier กับ Apple ID และจะมีการเปลี่ยน Identifier หลายครั้งในหนึ่งชั่วโมง เพื่อจะทำให้ยากในการระบุว่าตัวผู้ใช้งานเป็นใคร

ข้อมูลที่ Apple จะได้ถ้าเรายินยอม

สำหรับคนที่ใช้อุปกรณ์ของ Apple จะเห็นว่าช่วงหลัง ๆ จะเห็นโฆษณาบน App Store, Apple News, Stocks และ Apple TV แล้ว ซึ่งจากรายงานของ Apple เองพวกเขาก็บอกว่าตอนนี้ในแต่ละวันมีคนเข้า App Store ถึง 600 ล้านคน ซึ่งเป็นพื้นที่โฆษณาที่พวกเขาควบคุมทั้งหมดทุกอย่างเลย

โฆษณาก็จะมาในสองรูปแบบ

  • Contextual Ads – โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังค้นหา เช่น เวลาเราค้นหาแอป To-Do บน App Store ก็จะมีโฆษณาของแอปประเภทนี้ขึ้นมาให้เลือก ซึ่งแอปที่ลงโฆษณากับ Apple ก็จะขึ้นมาข้างบนให้เลือกก่อนเลย
  • Personalized Ads – โฆษณาที่ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่ Apple เก็บจากเราไป

Apple บอกว่า Contextual Ads ภายในแอปนั้นถูกเลือกขึ้นมาโชว์จากข้อมูลของเครื่อง (ภาษาเครื่องและข้อมูลของผู้ให้บริการ) โลเคชันถ้าเราเลือกที่จะแชร์ ข้อมูลการค้นหาต่าง ๆ ใน App Store หรือ ‘ประเภทของข่าว’ ที่เราอ่านใน Apple News หรือ Stock

ส่วนคนที่เปิด Personalized Ads (เราปิดได้ครับ เดี๋ยวมีบอกข้างล่าง) จะถูกจัดเข้าไว้ในกลุ่มขนาดประมาณ 5,000 คนที่มี ‘คุณลักษณะคล้าย ๆ กัน’ แล้วก็จะได้รับโฆษณาตามที่ Apple จัดกลุ่มเราไว้ การจัดกลุ่มก็มาจาก อายุ เพศ ที่อยู่ อุปกรณ์ที่ใช้ Apple ID นอกจากนั้นแล้วก็มีข้อมูลเพลง หนัง หนังสือ ทีวีโชว์ และแอปที่ดาวน์โหลดด้วย (ระหว่างที่อยู่ใน App Store ก็จะติดตามด้วยว่าเราดูหรือคลิกเข้าไปดูแอปฯไหนบ้าง)

ตอนนี้ Apple ยังเป็นเจ้าของพื้นที่ทำเลทอง App Store เพียงเจ้าเดียวและผู้ใช้งานยังไม่มีทางเลือกอื่นในการโหลดแอปต่าง ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะกำลังเปลี่ยนไปเพราะทางยุโรปเริ่มมีการขยับหารือออกกฎหมายบังคับให้ Apple ต้องอนุญาตให้ผู้ใช้งานโหลดแอปจากนอก App Store ได้ภายในปี 2024 (แม้ว่า Apple จะกำลังทำเรื่องอุทธรณ์ก็ตาม)

เราป้องกันข้อมูลยังไงได้บ้าง

แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ 100% เพราะยังไงเราก็ต้องอยู่ในระบบของ Apple ตราบใดที่ยังใช้อุปกรณ์ของพวกเขาอยู่ เพียงแต่ว่าเราสามารถปิดบางส่วนได้และใครที่ไม่สบายใจก็ลองทำตามขั้นตอนข้างล่างได้เลยครับ

Settings > Privacy & Security > Apple Advertising เลือกปิด “Personalized Ads” (ซึ่งถ้าตัวเลือกนี้เปิดอยู่เราสามารถกดดู ‘Ad Targeting Information’ ที่ทาง Apple จัดกลุ่มเราไว้ก็ได้ครับ) ซึ่งโฆษณาก็ยังแสดงเหมือนเดิม ไม่ได้ปิดโฆษณาไป แต่โฆษณาจะขึ้นสุ่ม ไม่ได้ถูกปรับให้เข้ากับเรา

อีกสองแอปอย่าง Apple News และ Stock เราสามารถเข้าไปที่ Settings ของแอป แล้วตั้งค่าให้รีเซต Identifier ได้ด้วย (ของบ้านเรายังไม่มี Apple News ตรงนี้ก็ข้ามไปได้ครับ)

ในส่วนของ Privacy & Security เราก็สามารถปิด Analytics & Improvements ได้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราแชร์ให้กับ Apple ว่าเครื่องมีปัญหาอะไรรึเปล่าเพื่อจะได้นำไปวิเคราะห์ต่อ นอกจากนั้นในนี้ก็มีเรื่อง Location ให้ลองเช็กอีกครั้งว่าได้อนุญาตให้แอปไหนเข้าถึงได้บ้าง และสุดท้ายถ้าใครอยากรู้ว่า Apple เก็บข้อมูลอะไรของตัวเองไปบ้าง ก็สามารถไปโหลดดูได้ที่ ตรงนี้ครับ

ข้อมูลเหล่านี้มีค่าอย่างมาก ไม่ใช่แค่ในมุมของการสร้างรายได้ให้กับ Apple แต่มันยังเป็นข้อมูลส่วนตัวของคุณเอง ซึ่งคุณก็ควรจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะมอบให้ Apple รึเปล่า และถ้าไม่สบายใจก็ควรปิดให้หมดเท่าที่จะทำได้ครับ แต่แน่นอนว่าคุณภาพของบริการที่จะได้รับจากแอปเปิ้ลก็จะลดลงไปบ้าง

Wired Wired
CNBC Apple

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส