หลายๆ ครั้ง เรามักรู้สึกว่าเราแตกต่างจากคนอื่นๆ ทั้งความคิด ทัศนคติ รูปแบบการใช้ชีวิต ฯลฯ และเราก็มักไม่ชอบในความแตกต่างของเราในบางครั้งบางคราว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ตระหนักดีว่า “ความแตกต่างคือสีสันหนึ่งของธรรมชาติ” และไม่ใช่เพียงความแตกต่างภายในอย่างความคิดและชีวิตจิตใจเท่านั้น แต่บางครั้งธรรมชาติก็สร้างให้เราหรือบางคน มีกายภาพที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง แต่หลายครั้งที่ความแตกต่างเหล่านี้ คือเอกลักษณ์และเป็นเสน่ห์ของธรรมชาติและวันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับสาวที่มีภาวะอัลบินิซึม (albinism) หรือโรคผิวเผือก ที่คนทั่วๆ ไป อาจมองว่าเธอมีสีผิวที่แตกต่างจากคนอื่นๆ แต่เธอกลับเอาชนะความแตกต่างทางธรรมชาติเหล่านี้ ด้วยการก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ทางกายภาพอย่างสวยงาม

วันนี้แบไต๋จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ เอ – เอธิกา เอกวารีสกุล สาว ป.โท สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย สาขาภาษาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล ไปคุยกับเธอกันค่ะ!

เริ่มเม้าส์กันที่ชีวิตการเรียนเลยแล้วกันค่ะ เล่าชีวิตป.ตรี ให้ฟังหน่อย

ตอน ป.ตรี เราเรียนศิลปศาสตร์ เอกภาษาไทยที่มหิดล ระหว่างเรียนเราก็พยายามทำกิจกรรมไปด้วย เพราะเราเชื่อว่านอกจากเกรดเฉลี่ยแล้ว การทำกิจกรรมมันก็ทำสำคัญนะ มันช่วยพัฒนาศักยภาพเราในหลายๆ ด้าน เปิดมุมมองใหม่ๆ ให้เราเยอะมาก ส่วนมากกิจกรรมที่ทำเราก็ไม่ได้เป็นเฮตหรือเมนหลักอะไรขนาดนั้น เป็นการไปช่วยซัพพอร์ดมากกว่า คืออยากทำกิจกรรม แต่ก็ไม่อยากให้มันกระทบการเรียน

ปีที่ทำกิจกรรมหนักหน่อยก็ช่วงปี3 ปี4 เหมือนเราปรับตัวกับมหาวิทยาลัยได้แล้ว เราก็อยากลองอะไรใหม่ๆ ไง ก็ไปเข้าชมรมรักษ์เพลงพื้นบ้านของมหาลัย ได้ไปแสดงตามงานบ้าง เหนื่อยมาก ซ้อมทีก็เลิกสามสี่ทุ่ม แต่กับสิ่งที่เราได้กลับมามันคุ้มนะ เราได้ฝึกระเบียบวินัย เราได้เพื่อน ได้ความกล้าแสดงออก คือเยอะมาก แล้วตอนปี 4 ก็ได้เป็นเหรัญญิกชมรม เขียนโครงการ ทำเอกสารนี่นั่น มันก็อีกสไตล์กับตอนที่เราเป็นสมาชิก อันนี้มันก็ฝึกเราอีกแบบอะ ให้เรารู้จักคิด วางแผน แก้ปัญหา อีกอย่างที่ทำตอน ป.ตรี ก็ชุมนุมนิตยสารของคณะ เราเป็นคนชอบเขียนไง มันก็เป็นพื้นที่ที่เราได้ปล่อยของ ได้ฝึกฝนตัวเอง ได้ฝึกทำงานกับคนอื่น ส่วนตัวเราก็คิดว่าเราใช้ชีวิต ป.ตรี คุ้มในระดับหนึ่งนะ ทั้งเรียนทั้งกิจกรรมก็ทำหมด

กิจกรรมข้างนอกก็ทำบ้าง เคยส่งบทความประกวดระดับประเทศไปทีหนึ่ง อันนั้นได้รางวัลชมเชยมา ก็ดีใจนะ เพราะไม่คิดว่าจะได้ แต่ที่ประทับใจก็การทำกิจกรรมมากกว่า อย่างเวลาไปแสดงเพลงพื้นบ้านตามงานอะ มันทำให้เรากล้าแสดงออกมากขึ้น เวลามีคนชมเราก็จะมีกำลังใจ แล้วเราได้พัฒนาตัวเองตลอดเวลา ความประทับใจจากการทำกิจกรรมมันมาจากระหว่างทำกิจกรรมด้วยส่วนหนึ่ง แต่ที่ติดตัวเราไปตลอดคือประสบการณ์ มันสอนอะไรเราเยอะมาก และที่เรารู้สึกภูมิใจคือ เรียนไป ทำกิจกรรมไป แต่ก็ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 มาฝากพ่อแม่ตอนเรียนจบด้วย ก็รู้สึกว่าเราใช้ชีวิตคุ้มในระดับหนึ่งเลย

แล้วป. โทหล่ะ เป็นยังไงบ้างคะ

เวลาเรียน ป.โทมันก็ต่างจากป.ตรีอะเนอะ วิธีการเรียนมันเปลี่ยนไป เราจะเน้นการอิปราย พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ฝึกวิเคราะห์ภาษาจากทฤษฎีที่เรียน เราก็จะเจอตัวอย่างภาษาที่เกิดมาก็ไม่เคยเจอมาก่อน (หัวเราะ) เรียนยากไหม มันก็ยากแหละ ไม่มีอะไรง่ายหรอก แต่เราก็ไม่ได้เรียนตัวคนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบอะ ในสาขาก็จะช่วยกันเรียน มีอะไรก็มาแชร์กัน แล้วด้วยความที่อายุเราก็จะรุ่นๆ เดียวกัน มันก็จะคุยกันง่ายหน่อย

ส่วนสังคม ป.โท ที่เราเจอ มันต่างจากที่คิดไว้เยอะมากเลยอะ ตอนแรกคิดว่าทุกคนจะต้องซีเรียสจริงจังกันตลอดเวลา อ่านหนังสือกันหน้าดำคร่ำเครียด ความจริงคือเราไม่ได้เครียดกันตลอดเวลานะ เราก็มีมุมเล่นบ้าๆ บอๆ กันแบบ ป.ตรีแหละ ไม่ได้สนิทกันแค่ในสาขานะ เพื่อนสาขาอื่นเราก็สนิท คือเอาจริงเพื่อน ป.โทที่นี่ดีมากๆ รวมๆ ชีวิตเราแฮปปี้นะ ถ้าไม่นับตอนสอบกับคิดหัวข้อรายงาน (หัวเราะ) แล้วส่วนตัวเราว่าเราค่อนข้างชิวกว่าตอนป.ตรีเยอะเลย

ว่าแต่ ภาษาศาสตร์ เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างนะ

เรียนภาษาศาสตร์ เรียนภาษาอะไร คือร้อยทั้งร้อยทุกคนโดนถามคำถามนี้ เราจะบอกว่าภาษาศาสตร์เราเรียนเพื่อไปวิเคราะห์ภาษา ภาษาอะไรก็ได้ ภาษาที่เราไม่รู้จักก็ได้ เหมือนหนังเรื่อง arrival แบบนั้นแหละ เราจะเรียนไปทางวิเคราะห์ เรียนวิเคราะห์กันตั้งแต่ระบบเสียง คำ วลี ประโยค ข้อความ ยันการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันเลย

ทำไมถึงเลือกเรียนภาษาศาสตร์

คือตอนป.ตรีเรียนเอกภาษาไทย มันก็จะมีวิชากลุ่มภาษาศาสตร์ให้เรียน นี่เรียนวิชาบังคับที่เป็นภาษาศาสตร์ไปสองตัว แล้วชอบ หลังจากนั้นคือวิชาที่เป็นภาษาศาสตร์เราลงหมด แล้วเราแฮปปี้กับการเรียนมาก ตอนสอบไรก็ไม่เครียดเลย อันนี้คือความชอบก็ส่วนนึง อีกอย่างคือภาษาศาสตร์มันสอนให้เราคิดเป็นขั้นเป็นตอน คิดแบบมีเหตุผลมีที่มาที่ไป แล้วจริงๆ ภาษาศาสตร์นี่สำคัญนะ บางคนอาจจะมองว่าเรียนไปทำไมล่ะ คือมันใกล้ตัวกว่าที่คิด ทุกวันนี้ก็มีประเด็นเรื่องภาษากันโครมๆ ทั้งการสะกดคำ ทั้งการอ่าน แม้กระทั่งว่าทำไมคนนี้ถึงพูดไม่ชัด มันเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ทั้งนั้น

ด้วยลักษณะทางกายภาพ มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตบ้างมั้ยคะ

มันก็คงมีแหละคนที่มองว่าเราต่าง ไปไหนมาไหนคนก็มอง แต่เขาไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเราขนาดนั้น และถ้ามองข้ามเรื่องสีผิว เราก็เหมือนคนปกติทั่วไปแหละ มีข้อดีข้อเสีย เราจะไม่ได้เอาสีผิวมาเป็นข้อกำหนดในการใช้ชีวิต มาลิมิตตัวเอง และเราก็จะไม่ปล่อยให้สายตาคนอื่นๆ มากำหนดตัวตนของเรา ส่วนเรื่องโอกาส คนอื่นเป็นคนยื่นให้ส่วนหนึ่งก็จริง แต่อีกส่วนมันก็อยู่ที่ตัวเราเองที่จะคว้าโอกาสนั้นมาได้หรือเปล่า แล้วต่อให้เราจะไม่ได้โอกาสมากเท่าคนอื่น แต่เราก็เต็มที่กับโอกาสที่เราได้รับมามันก็โอเคแล้วนะ

แต่ปัญหาหลักๆ ก็เรื่องสายตา มันเป็นอุปสรรคแน่นอนเพราะเราต้องใช้มันทุกวัน แต่เราก็แก้ไขไม่ได้ เราแค่เรียนรู้และหาวิธีที่จะช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด อย่างเรื่องเรียนเราก็จะอาศัยการฟัง การอ่านทบทวนมาช่วย คืออาจจะต้องทำอะไรซ้ำซ้อนไปบ้าง แต่มันก็มีข้อดีนะ คือพอเราทำอะไรซ้ำ เราจะจำได้ไง ก็ได้ทบทวนสิ่งที่เรียนไปในตัว แล้วจริงๆ ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ตั้งแต่ประถมมัธยมยันตอนนี้เลยอะ เพราะเวลาเรียนเราได้เพื่อนคอยช่วยเยอะมากจริงๆ

แรงบันดาลใจในการเรียน

อยากเรียนจบไปมีงานที่มั่นคง สามารถเลี้ยงพ่อแม่ เลี้ยงตัวเองได้ นี่แหละแรงบันดาลใจในการเรียน

และเราเชื่อว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น จริงอยู่มันก็อาจจะไม่ได้ใช้ได้กับทุกเรื่อง แต่วลาเราจะทำอะไรเราก็ต้องมีความพยายาม มีความตั้งใจ แล้วก็ทำเต็มที่ แต่ยังไงเราก็ต้องรู้จักประมาณตัวเองด้วยว่าเราทำได้แค่ไหน จุดไหนที่เราทำแล้วมันมีความสุข

มองอนาคตหลังเรียนจบไว้ว่ายังไงบ้างคะ

ตอนนี้ก็คิดไว้ว่าหลังเรียนจบโท คงหางานทำก่อน อาจจะไปเป็นอาจารย์หรือนักวิจัยอะไรเทือกๆ นั้น คงยังไม่เรียนต่อทันที คิดไว้แหละว่าจะเรียน แต่เราอยู่กับการเรียนมา 20 ปีแล้ว เลยอยากออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกก่อน จริงๆ ก็อยากมีกิจการอะไรสักอย่างเป็นของตัวเองนะ แต่เดี๋ยวอันนั้นคงต้องดูกันอีกที ตอนนี้โฟกัสที่เรื่องเรียนก่อน

เวลาเจออุปสรรคเราจะถอยออกมาก้าวหนึ่งเพื่อตั้งหลัก เพื่อประเมินสิ่งที่กำลังเจออยู่ ถ้าพร้อมแล้วเราก็จะไปต่อ น้อยครั้งมากที่จะล้มเลิกไปเลย แต่เราก็ต้องคิดแล้วว่าที่เลิกไปเลยเพราะมันไม่ได้มีผลเสียอะไรกับเรา ทำต่อไปก็ไม่ได้อะไร ชีวิตไม่มีความสุขเปล่าๆ แต่ทุกครั้งที่เจอเรื่องอะไรแย่ๆ เราก็จะได้เห็นด้านดีๆ ของมัน อย่างน้อยเรารู้ว่าใครที่พร้อมจะอยู่กับเรา คอยช่วย คอยรับฟังเรา แล้วอุปสรรคมันก็จะทำให้เราเติบขึ้น

มีแอปอะไรที่ช่วยในการเรียนบ้าง

ด้วยความที่เราต้องอ่านตำราเยอะ ตำราบางเล่มมันก็หนา จะยืมกลับไปทั้งเล่มเราก็ใช้แค่ไม่กี่หน้า จะเอาไปถ่ายเอกสารบ้างเราก็ไม่อยากมีกระดาษอะไรเยอแยะไปหมด เราก็จะใช้ CamScanner มาช่วย คือแอปนี้มันจะทำงานคล้ายเครื่องสแกนเนอร์

แต่จะใช้กล้องโทรศัพท์เป็นตัวสแกน เราก็ถ่ายภาพเอกสารหน้าที่เราต้องการผ่านแอป มันก็จะปรับให้เหมือนเราสแกนจากเครื่อง ปรับหน้ากระดาษให้ตรง ประตัวหนังสือให้ชัด เวลาเซฟมันเซฟได้ทั้งไฟล์ภาพและไฟล์เอกสาร ซึ่งจะสะดวกในการแชร์มากๆ

ดาวน์โหลด

วันนี้นอกจากจะได้รู้เรื่องราวการใช้ชีวิตในสาขาภาษาศาสตร์แล้ว ยังได้ข้อคิดดีๆ และมุมมองการใช้ชีวิตของสาวคนนี้ด้วย เรียกได้ว่า พูดคุยด้วยแล้วรู้สึกมีพลัง อยากทำสิ่งที่มุ่งหวังให้สำเร็จด้วยความพยายามจริงๆ