“นักกายภาพบำบัด” อีกหนึ่งวิชาชีพที่มีบทบาทอย่างมากในเรื่องสุขภาพ และสังคมปัจจุบันกำลังให้ความสนใจกับวิชาชีพนี้มากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นวิชาชีพที่ช่วยบรรเทาทุกข์จากความเจ็บป่วยทางกายภาพแล้ว ยังช่วยส่งเสริมและป้องกันโรคภัยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนอาจยังไม่คุ้นเคยกับวิชาชีพนี้สักเท่าไหร่ วันนี้แบไต๋จะมาไขข้อสงสัยให้กระจ่างกันว่า “นักกายภาพบำบัด” เขาทำงานกันอย่างไร และวิชาชีพนี้น่าสนใจอย่างไรบ้าง โดยวันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านทุกท่าน ไปทำความรู้จักกับ นักกายภาพบำบัดสาวสวย ปุ้ย – วศินี จรรยานุกูล
จุดเริ่มต้น การเป็น “นักกายภาพบำบัด” ของปุ้ย
เกิดจากที่ช่วงมัธยมปลาย เรามีความสนใจในสายวิทย์สุขภาพอยู่แล้ว รุ่นพี่ที่โรงเรียนปุ้ยก็มีมาเรียนต่อคณะนี้กันแทบทุกปี แล้วทุกปีก็จะมีแบบพี่ๆ มาแนะแนวเรื่องเรียนต่ออะไรแบบนี้ ว่ารูปแบบการเรียนเป็นไง จบไปทำงานอะไร แล้วเราว่ามันน่าสนใจ ตอนแอดก็เลยเลือกคณะนี้ไป ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนต่อคณะนี้ค่ะ
ทำไมถึงเลือกประกอบอาชีพนักกายภาพบำบัด
จริงๆ วิชาชีพนี้ สำหรับเราเองมองว่ามันมีประโยชน์มากนะ มันดูอเมซิ่งมาก (ยิ้ม) แบบใครจะไปรู้ว่าการออกกำลังกายท่านู้นท่านี้ แค่ท่าง่ายๆ ก็บำบัดอาการต่างๆ ได้ เพียงแค่ทำให้ถูกต้องด้วยปริมาณที่เหมาะสม แล้วตอนเรียนได้เจออะไรเยอะแยะ ก็ทำให้เราเห็นถึงคุณค่าของวิชาชีพนี้มากขึ้น เราเลยอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนอื่นๆ เข้าถึงบทบาทของนักกายภาพบำบัด จะได้เข้าถึงการรักษาทางกายภาพบำบัดกันมากขึ้นด้วย
ในหนึ่งวัน นักกายภาพบำบัดต้องทำอะไรบ้าง
ต้องซักประวัติ ตรวจประเมิน วิเคราะห์ปัญหา ให้การรักษา รวมไปถึงการให้ความรู้ในเรื่องของการดูแลตนเองค่ะ เช่นวิธีปรับสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อปัญหานั้นๆ ของคนไข้ วิธีจัดการกับอาการต่างๆ เบื้องต้น การบริหารท่าต่างๆ ที่ต้องทำเป็นประจำ บอกข้อห้าม ข้อควรระวังต่างๆ เอาง่ายๆ เลยก็คือต้องส่งเสริม ป้องกัน รักษา แล้วก็ฟื้นฟูโรค หรืออาการต่างๆ นี่แหล่ะค่ะ
จำเป็นไหม ที่ต้องจบกายภาพมาโดยตรง
จำเป็นจ้า เพราะก่อนที่เราจะมาประกอบอาชีพนี้ได้ก็คือเราต้องสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพของสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยก่อน ไม่งั้นเราก็ไม่สามารถมารักษาใครได้ เราก็จะเถื่อนๆ กันไป (หัวเราะ) แล้วจะสอบใบประกอบวิชาชีพนี้ได้ ก็ต้องจบปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขากายภาพบำบัดมาก่อนด้วย
ทักษะสำคัญที่นักกายภาพบำบัดควรมี
ส่วนตัวเราว่างานกายภาพบำบัดเป็นงานที่เราจะต้องพบปะพูดคุยอยู่ตลอดเวลา ทักษะด้านการสื่อสารเลยถือว่าสำคัญสำหรับเรามาก แบบคนไข้คนนึงมาหาเราการที่เรารู้จักที่จะสื่อสารให้เข้าถึงคนไข้ได้ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ ชวนคุย มันอาจทำให้เรารู้สาเหตุที่ทำให้เขาเกิดอาการนั้นๆ แล้วการวินิจฉัยก็จะง่ายขึ้น (ยิ้ม) เวลารักษา สอนท่าออกกำลังกายต่างๆ ก็ต้องพูดอีก ต้องมีทักษะในการพูดให้เขาเชื่อถือ มั่นใจในตัวเรา และกลับไปทำตามที่เราแนะนำ การรักษาของเราก็จะประสบความสำเร็จได้ คนไข้ก็จะดีขึ้น
เล่าประสบการณ์การทำงานที่ประทับใจที่สุดให้ฟังหน่อย
จริงๆ เวลาทำงานมีเรื่องที่น่าประทับใจหลายเรื่องเลยนะ (ยิ้ม) ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อนร่วมงาน หรือกับคนไข้เอง แต่สิ่งที่เราประทับใจสุดคือ เวลารักษาคนไข้ที่ค่อนข้างดื้อ ไม่ยอมออกกำลังกาย ก็เหมือนว่าเราต้องใช้ทักษะการสื่อสารที่มากขึ้น ก็พยายามรักษากันไป อธิบายกันไป จนวันที่เขามาเจอหน้าเราแล้วบอกว่าเขากลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติแล้วนะ มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกประทับใจมากที่สุดแล้ว
ถ้าบนโลกนี้ ไม่มีอาชีพนักกายภาพบำบัด ปุ้ยว่าจะเป็นยังไง
คือการกายภาพบำบัดเนี่ยมันไม่จำเป็นต้องเจ็บก่อน พิการก่อน แก่ก่อนถึงมากายภาพ แต่อย่างที่บอกเราทำหน้าที่ในส่วนของการส่งเสริม และป้องกันด้วย ดังนั้นถ้าบนโลกนี้ไม่มีอาชีพกายภาพบำบัดก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะจริงๆแล้วอาชีพนักกายภาพบำบัดอาจดูเหมือนเป็นวิชาชีพเล็กๆ ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักบทบาทสักเท่าไหร่ ในความคิดส่วนตัวปุ้ยนะ แต่ในความเป็นจริงวิชาชีพกายภาพบำบัดของเรา บทบาทหน้าที่ของเรา ก็มีดีไม่แพ้อาชีพอื่น ในการช่วยเหลือผู้คนทางด้านสุขภาพเลย
เสน่ห์ของอาชีพนักกายภาพบำบัดสำหรับปุ้ยคืออะไร
เสน่ห์ของอาชีพเราหรอ คงเป็นการที่นักกายภาพบำบัดสามารถวิเคราะห์การเคลื่อนไหวต่างๆ ได้จากแค่การมองด้วยสายตา พอมองปุ้บ เราจะพอรู้ได้ว่าปัญหานั้นๆ เกิดขึ้นจากอะไร กล้ามเนื้อตัวไหนทำงาน ตัวไหนทำงานมาก หรือทำงานน้อย อะไรแบบนี้ แล้วถึงแม้เราจะไม่มีเครื่องมืออะไรเลยเราก็สามารถรักษาคนไข้ได้แค่ใช้ 1 สมองกับ 2 มือที่เรามีแค่นั้น
แรงบันดาลใจในการทำงาน
แรงบันดาลใจของเราคือคุณพ่อ คุณแม่ เรามักจะมองย้อนไปว่า กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ พ่อ แม่ต้องเหนื่อยมากในการเลี้ยงดูเรา แต่ก็แปลกที่ท่านไม่เคยบ่นเลย มันก็เป็นเพราะท่านรักในสิ่งที่ท่านทำ ได้ดูแล และมองดูเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ส่วนคติการทำงาน ปุ้ยจะคิดอยู่เสมอว่าการที่เราจะประสบความสำเร็จในการทำอะไรก็แล้วแต่ เราไม่เพียงแค่ต้องมีปัญญา หรือความสามารถเท่านั้น แต่เรายังต้องเอาใจใส่ลงไปในสิ่งต่างๆ ที่เราทำด้วย แล้วทุกๆ วันที่เราทำงานมันก็จะเป็นวันที่เรามีความสุขอยู่ตลอดแม้ว่าจะเจออะไรก็ตาม
ขอแอปเจ๋งๆ ที่ปุ้ยใช้ในการทำงานหน่อยค่ะ
ปุ้ยใช้ VivaVideo มันเจ๋งตรงที่เวลาปุ้ยตรวจคนไข้ ก็เนี่ยใช้แอปนี้ในการถ่ายให้เขาดูการเคลื่อนไหวของตัวเอง หรือแชร์ให้เขาเก็บไว้ดูพัฒนาการในการรักษาของเขาก็ได้ มันสามารถเพิ่มหรือลดสปีดได้ ตัดคลิปแค่ช่วงที่เราต้องการได้ ทำให้เราเห็นการเคลื่อนไหวต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพ มากขึ้น หรือบางทีเราทำคลิปสอนออกกำลังกายให้ความรู้เรื่องสุขภาพก็ใช้แอปนี้แอปเดียวเลย ใส่เพลงใส่ลูกเล่นได้ และก็ใช้งานง่ายสะดวกดี
ดาวน์โหลด
อีกหนึ่งวิชาชีพที่ต้องทำงานด้วยใจรัก และใช้ทักษะอย่างหลากหลายจริงๆ งานที่ทำก็ดูท้าทายและแอดเว้นเจอร์ไม่น้อย และยังเป็นวิชาชีพที่ต้องจบการศึกษามาโดยตรงด้วย แบบนี้ถ้าใครสนใจอยากทำงานในสายนี้ ก็ต้องตั้งมั่นเพื่อที่จะเข้าศึกษาต่อในคณะกายภาพบำบัดให้ได้แล้วหล่ะ!