“ค่านิยม 12 ประการ” เป็นสิ่งที่เราเคยได้ยินหรืออาจจะคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ต้องการส่งเสริมและพัฒนาสังคมไทยให้มั่นคงมากขึ้น ซึ่งก็ได้ดำเนินการมาสักพักแล้ว แต่สิ่งที่หลายๆ คน ยังไม่รู้คือค่านิยม 12 ประการได้ถูกนำมาใช้ในการปลูกฝังคุณธรรมพื้นฐานและหลักการใช้ชีวิตต่างๆ ให้กับเยาวชนไทย โดยหนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจก็คือการจัดค่ายอบรมค่านิยม 12 ประการให้กับเยาวชนนั่นเอง ซึ่งกิจกรรมหลายๆ อย่างในค่ายก็ดูน่าสนใจไม่น้อย ส่วนจะน่าสนใจยังไง ก็คงต้องรอคำตอบจากคนในแล้วล่ะ
และวันนี้แบไต๋จะพาทุกท่านไปพูดคุยกับวิทยากรในค่ายแห่งนี้กัน ว่าค่ายปลูกฝังค่านิยม 12 ประการนี้น่าสนใจยังไงบ้าง ไปคุยกับ บัว – อรวรรยา ลิ้มเจริญ วิทยากรสาวสวยกันเลย!
เริ่มต้นงานวิทยากรที่ค่ายค่านิยม 12 ประการ ได้ยังไง
เริ่มจากการชวนของเพื่อนหลังจากที่บัวกลับมาจาก Work and Travel ที่อเมริกา ก็ยังเคว้งคว้างยังไม่รู้จะหางานอะไรทำ พอดีเกิดประจวบเหมาะที่ทางคณะศึกษาศาสตร์ มศว ซึ่งเป็นคณะของบัวเองสมัยเรียนป.ตรี ก็เลยตัดสินใจ เอาหล่ะ ลองดูหน่อย ก็เลยส่ง resume ไปที่อาจารย์ และก็ได้มาทำงานนี่แหละ
เคยมีประสบการณ์การทำวิทยากรมาก่อนรึเปล่า
ตอนแรกอย่างที่บอกก็ไม่คิดว่าจะได้มาทำงานด้านนี้ และไม่เคยเป็นวิทยากรที่อื่นเลย ก็ถือว่าได้มีโอกาสลองทำงานใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะว่าเราทำงานนี้ แค่เฉพาะค่ายนี้ที่เดียว เรียกว่าเป็นวิทยากรฝึกหัดมากกว่า (ยิ้ม)
ว่าแต่ค่ายบ่มเพาะต้นกล้าค่านิยม 12 ประการ คืออะไร เล่าให้ฟังหน่อย
เป็นค่ายที่ทางคณะศึกษาศาสตร์ มศว ร่วมกับ รัฐบาล คสช. ในส่วนของกอรมนและกระทรวงศึกษาธิการ จัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อปลูกฝังค่านิยม12 ประการ ให้กับเด็กและเยาวชนในกลุ่มหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.)
เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน เด็กๆ ที่เข้าค่ายก็จะได้รับความรู้ เช่น ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ความซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน ความกตัญญู ศีลธรรม อยู่อย่างพอเพียง ทำนองนี้ค่ะ และนอกจากได้พวกความรู้ต่างๆ แล้วยังได้รับความสนุกสนานด้วยนะ
ในค่ายมีกิจกรรมอะไรบ้าง
วันแรกก็จะมีการลงทะเบียนเด็กๆ จากโรงเรียนต่างๆ ในหมู่บ้าน อพป. แต่ละจังหวัด ค่ายนึงก็ประมาณ 6 โรงเรียน พอรวมน้องๆ เสร็จก็มีพิธีเปิดและก็ทำกิจกรรมรวม จะเรียกว่ากิจกรรมละลายพฤติกรรมก็ได้ โดยจะแบ่งน้องๆ คละสีออกเป็น 12 สี วันแรกก็เข้าฐานค่านิยม 4 ฐาน โดยผู้ให้ความรู้ก็คือเราและก็วิทยากรท่านอื่นๆ อีก ฐานละ2 ท่านค่ะ หลังจากนั้นก็ทำกิจกรรมรวม สันทนาการก่อนนอน เป็นอันเสร็จสิ้นวันแรกส่วน
วันที่ 2 และวันสุดท้ายก็จะมีการเข้าฐานและทำกิจกรรมรวม พอใกล้จบค่ายก็จะมีการสรุปความรู้ที่เด็กๆ ได้จากค่ายโดยเด็กและวิทยากร มอบรางวัลเป็นกำลังใจให้น้องแต่ละสี ปฏิญาณตนว่าจะนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นค่ะ เอาไปพัฒนาชาติบ้านเมือง จากต้นกล้ากลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์แข็งแรงในอนาคตได้ ใครสนใจก็ไปติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook โครงการบ่มเพาะต้นกล้าค่านิยม 12 ประการค่ะ
เห็นบอกว่าหลังเสร็จงาน ได้ศึกษาวิถีชุมชนด้วย
ถือเป็นชีวิตดีๆ เลย (หัวเราะ) แต่ละจังหวัดเวลาเราไปทำค่าย จบค่ายนึงปุ๊ป เราก็จะมีโอกาสได้ใช้เวลาหลังเสร็จงานในการศึกษาดูวิถีชุมชนด้วยค่ะ จะเป็นช่วงเวลาดีๆ โอกาสทองของวิทยากร เมื่อเวลาไปจังหวัดไหนเราก็จะได้มีเวลาในช่วงนี้ ไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดนั้นด้วย หรือบางครั้งช่วงเช้าก่อนเริ่มทำงาน กิจกรรมวิ่งสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ต่างจังหวัด ก็ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ถึงนานๆ ทีจะตื่นไปวิ่งก็ตาม (หัวเราะ)
เป็นวิทยากรต้องมีทักษะด้านไหนเป็นพิเศษ
ต้องเปิดใจ กล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กล้าพูด กล้าแสดงออกและต้องมีความรู้ มีเทคนิคในการสอน การพูดกับเด็กๆ จริงๆ เราว่าทุกงานก็ต้องอาศัยประสบการณ์ อย่างงานนี้จะว่าใหม่ก็ใหม่นะ สำหรับเรา เราไม่เคยเป็นวิทยากร จริงอยู่อย่างตัวเราอาจเคยฝึกสอนเป็นคุณครูนิสิตมาก่อนก็จะไม่เขินไมค์มาก จะค่อนข้างชินกับการสอน แต่เรื่องความรู้ เรื่องเทคนิคการสอนแบบวิทยากรก็อาจแตกต่างนิดนึง เราก็ใช้วิธีสงสัยแล้วศึกษา สังเกตจากวิทยากรรุ่นพี่ สังเกตว่าเค้าสอนยังไง ใช้เทคนิคอะไร และนำมาประยุกต์ให้เป็นในแบบของตัวเอง
มีเหตุการณ์ไหนหรือประสบการณ์อะไรที่ประทับใจเป็นพิเศษมั้ย
ความประทับใจหรอ จริงๆ เราประทับใจทุกค่าย ทุกจังหวัดที่ไปเลย เราว่าเด็กยังไงก็คือผ้าขาว ทุกครั้งที่เราสอน ที่เราให้ความรู้กับเด็กๆ แล้วเค้าสนใจ แล้วเค้านำไปใช้ได้จริงๆ นั่นคือเราประทับใจแล้ว ถ้าให้เล่า 1เรื่อง.. ก็มีน้องอยู่คนหนึ่ง ตอนเราไปค่ายที่เพชรบุรี ขาน้องเค้าไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่เห็นน้องเค้าพยายามทำอะไรด้วยตัวเอง และตั้งใจเรียน
แล้ววันสุดท้าย ตอนวันที่พี่วิทยากรต่อแถวเพื่อส่งน้องๆ น้องเค้าร้องไห้แล้วสวัสดีตลอดทางเลย น้องเค้าคงไม่อยากกลับ เค้าประทับใจแล้วมีความสุข เราในฐานะวิทยากรก็รู้สึกแบบบางทีก็จะร้องตาม เห็นน้องๆ มีความสุขในการมาเข้าร่วมโครงการคือมันสุขมากๆ นะ ต่อให้แบบเสียงแหบแห้งจากการให้ความรู้กับเด็กๆ มากแค่ไหน เราก็ว่ามันคุ้มมากๆ น้องๆ หลายคนไม่เคยลงมาในเมือง หลายคนไม่เคยนอนในโรงแรม หลายคนไม่เคยรู้จักเซเว่น หลายคนไม่เคยเข้าค่าย อย่างน้อยๆ โครงการนี้ได้ให้ประสบการณ์ที่ดีและใหม่กับน้องๆ หลายคนจบค่ายไปแล้ว ก็ยังมาติดตามเพจของโครงการเรา เราให้ความรู้กับน้องๆ ไปแล้ว ถ้าเกิดน้องเอาไปใช้จริงแล้วเกิดประโยชน์กับตัวน้องเองและสังคม ในฐานะวิทยากร เราก็รู้สึกประทับใจมาก
คิดว่าเราได้อะไรจากงานตรงนี้บ้าง
ได้หลายอย่างมากเลย อย่างแรกเลยคือประสบการณ์ ได้ลองทำงานในหน้าที่ใหม่ ที่ไม่เคยทำมาก่อน สมัยเรียนเราไม่เคยทำงานค่ายเลย วิทยากรก็ไม่เคยเป็นมาก่อนนี่เป็นครั้งแรก และเราก็รู้สึกว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องมีพลังบวกเยอะมากๆ
- เราต้องเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ
- เราต้องให้กำลังใจตัวเอง เพราะเราจะไปพูดให้กำลังใจคนอื่น ไปสอนคนอื่นไม่ได้ ถ้าเราไม่ให้กำลังใจตัวเองก่อน
- เราต้องกล้า กล้าพูด กล้าแสดงออก
- ขึ้นชื่อว่าเป็นงานค่าย นั่นหมายความว่าเราได้ฝึกการทำงานกับคนหมู่มาก
หลังจากผ่านมา 10 ค่าย เราคิดว่าตัวเรามีพัฒนาการในด้านการสื่อสารกับผู้คนดีขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น และปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้
เสน่ห์ของการทำงานด้านนี้
เราได้เป็นผู้ให้และผู้รับในคราเดียวกัน วิทยากรให้ความรู้ ความปรารถนาดีกับเด็กๆ ในคราเดียวกัน เราเองก็ได้รับความสุขกลับมาทันที เมื่อเห็นรอยยิ้ม เห็นความตั้งใจ ของเด็กๆ นอกจากนี้งานค่ายเป็นงานที่สนุก เราเองมีความสุขมากๆ ที่มีเพื่อนร่วมงานที่ดีด้วย เนี่ยเจ๋งสุดๆ ไปเลย นี่คือเสน่ห์เราคิดงี้นะ
แนะนำแอปหน่อยสิ
ไม่ค่อยได้ใช้แอปเลย แต่เห็นฐานอื่นๆ เค้าใช้กันนะ งั้นแนะนำเป็นแอปค่านิยม 12 ประการแล้วกันเนอะ เผื่อใครอยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับด้านนี้ โดยรวมแอปยังไม่ค่อยเสถียรมาก แต่ก็พออ่านข้อมูลรู้เรื่องได้อยู่ มีการเชื่อมกับ YouTube ด้วย ลองไปโหลดมาดูกันค่ะ
ดาวน์โหลด
ฟังจากวงในมาแบบนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าค่านิยม 12 ประการ ไม่ใช่เพียงคุณธรรมพื้นฐานที่ถูกสร้างมาลอยๆ เท่านั้น แต่ได้ถูกนำมาปลูกฝังเยาวชนอย่างจริงจัง ให้ตระหนักถึงการพัฒนาตนเองและประเทศชาติอย่างมีคุณภาพด้วย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีๆ อีกอย่างของสังคมไทยยุคปัจจุบันเลย
วันนี้แบไต๋ก็ต้องขอบคุณวิทยากรวงในอย่างคุณบัว ที่มาเล่าเรื่องราวของค่ายแบบอินไซด์กันเลยทีเดียว ส่วนครั้งหน้าจะไปพบกับหนุ่มสาวมากความสามารถคนไหน ก็อย่าลืมติดตามในคอลัมน์ “พี่เค้าใช้แอปอะไรนะ” นะคะ